การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีต่างๆ กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการดำเนินธุรกิจด้านโลจิสติกส์

ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้ ยังได้ต่อยอดสู่ความเป็นได้ใหม่ๆ ที่มีศักยภาพสำหรับภาคธุรกิจและผู้บริโภคในอนาคต ในขณะที่เรากำลังก้าวเข้ายุคอุตสาหกรรม 4.0 (การนำเทคโนโลยีดิจิทัลและอินเทอร์เน็ต มาใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าสามารถเชื่อมความต้องการของผู้บริโภคแต่ละรายเข้ากับกระบวนการผลิตสินค้าได้โดยตรง) การเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่อย่างเอไอ (AI) หรือปัญญาประดิษฐ์กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงกระบวนการที่คอมพิวเตอร์และระบบอัตโนมัติทำงานร่วมกัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้เกิดรูปแบบการใช้งานใหม่ๆ เช่น การใช้ผู้ช่วยเสมือนจริง (Virtual Assistants)

เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้บริโภค รวมถึงการใช้เทคโยโลยีเอไอและหุ่นยนต์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการขนส่งและจัดเก็บสินค้าในโกดัง ในขณะที่เฟดเอ็กซ์ ได้ให้บริการ FedEx SenseAware® ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยี IoT หรือ Internet of ส่งมอบบริการให้แก่ลูกค้า ทำให้ลูกค้า

สามารถตรวจสอบและติดตามสถานะของสินค้าได้อย่างละเอียด เช่น อุตสาหกรรมการแพทย์ อุตสาหกรรมการบิน และอุตสาหกรรมสินค้าไฮเทคหรือสินค้าที่มีมูลค่าสูง โดยมีบริการที่เรียกว่า SenseAware ที่คอยตรวจสอบสถานะของสินค้าครอบคลุมทั้งอุณหภูมิและความชื้น โดยจะส่งการแจ้งเตือนให้ลูกค้าทราบระหว่างทำการขนส่ง

นวัตกรรมด้านโลจิสติกส์เชื่อมต่อภาคธุรกิจกับผู้บริโภค ต่อยอดสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆในอนาคต

อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสำคัญในการพัฒนาประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) คือบล็อกเชน (Blockchain) โดยฐานข้อมูลและเครือข่ายของบล็อกเชน (บางครั้งเรียกว่า Chain of Events หรือ Blocks) สามารถแกะรอยและดึงข้อมูลจากเกือบทุกกิจกรรมทางธุรกิจครอบคลุมการใช้งานทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกรรมด้านการเงิน หรือประวัติข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ป่วย บล็อกเชนยังสามารถลดความเสี่ยงและมีประสิทธิภาพด้านการจัดการเวลาและต้นทุนในการขนส่งลงอีกด้วย โดยเทคโนโลยีบล็อกเชนเหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าที่ต้องการความละเอียดอ่อนและเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง อาทิ สินค้าเวชภัณฑ์ ซึ่งหากลูกค้าต้องการความมั่นใจตลอดระยะเวลาการขนส่ง บล็อกเชนจะเข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบและคอยให้ข้อมูลการขนส่งอย่างละเอียด

เทคโนโลยีและนวัตกรรมกำลังเข้ามาช่วยยกระดับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไปสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ โดยช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพในการขนส่งและอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า ทั้งนี้ เฟดเอ็กซ์เองได้ริเริ่มนำเทคโนโลยีเอไอมาใช้งานในหลากหลายบทบาท อาทิ ผู้ช่วยออนไลน์เสมือนจริงจากเฟดเอ็กซ์ (FedEx online Virtual Assistant) โดยสามารถตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคผ่านการตอบคำถามของผู้บริโภคผ่านช่องทางออนไลน์แบบเรียลไทม์ (Real-time Answers)

เทคโนโลยีเอไอได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานและยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในปัจจุบันนี้ไปสู่มิติใหม่ ทั้งนี้หากเทคโนโลยีเอไอมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ในอนาคตอีกไม่นานลูกค้าสามารถสั่งสินค้าผ่านผู้ช่วยอัจฉริยะที่สั่งงานด้วยเสียง (Voice Assistant)

นอกจากนี้ คาดว่าภายในระยะ 10 ปี อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ จะมีการใช้งานระบบอัตโนมัติอย่างกว้างขวางในการขนส่งสินค้าสำหรับอุตสาหกรรมรวมถึงมีการพัฒนาระบบขนส่งอัตโนมัติสำหรับพาหนะขนส่งที่มีขนาดใหญ่ (Large long-haul vehicles)

ลูกค้าจำนวนมากกำลังมองหาบริการด้านการจัดส่งที่สะดวกสบายและตรงตามความต้องการเฉพาะของผู้บริโภคแต่ละรายส่งผลให้เกิดการลงทุนของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในด้านดิจิตัลและเทคโนโลยีมากขึ้น รวมถึงมีการขยายช่องทางการซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ โดยมีการขยายตัวของการให้บริการการขนส่งเฉพาะทาง เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค ตัวอย่างเช่น โซลูชั่นการจัดส่งสินค้าของเฟดเอ็กซ์หรือ FedEx Delivery Manager® ที่มอบการบริการให้ลูกค้าสามารถจัดการสินค้าผ่านสมาร์ทโฟน เพื่อนัดหมายจัดตารางการส่งสินค้าและเลือกช่องทางการจัดส่งที่สะดวกและเหมาะสมที่สุด เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค

ในปัจจุบัน เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย สภาพแวดล้อมทั้งในเชิงเทคโนโลยี ธุรกิจและสังคม ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนให้อุตสาหกรรมโลจิสติกส์หันมาให้ความสนใจและพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน การส่งมอบงานที่เร็ว ถูกต้องและแม่นยำมากยิ่งขึ้น รวมทั้งบริษัทต่างๆ ที่ทำงานในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ก็มีการตื่นตัวพร้อมทั้งปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนำไปสู่ความสะดวกสบายที่มากขึ้นของผู้บริโภค อาจกล่าวได้ว่า นวัตกรรมในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์จะนำไปสู่ความสำเร็จของธุรกิจที่มากขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจมีความมั่นคง และเชื่อมต่อผู้บริโภคไปสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ทั่วโลก