9 กิจกรรม 3 มิติ 5 อุตสาหกรรม: กุญแจสำคัญในการวัดประสิทธิภาพ (LPI) ที่คุณควรรู้

9 กิจกรรม 3 มิติ 5 อุตสาหกรรม: ความสำคัญและบทบาทใน Logistics Performance Index (LPI)

ในโลกของโลจิสติกส์ ตัวชี้วัดประสิทธิภาพโลจิสติกส์ (Logistics Performance Index: LPI) เป็นเกณฑ์สำคัญที่ใช้ประเมินการดำเนินงานของอุตสาหกรรม ซึ่ง “9 กิจกรรม 3 มิติ 5 อุตสาหกรรม” เป็นตัวชี้วัดที่ถูกนำมาใช้เพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพในหลากหลายด้าน

ภาพรวมของ 9 กิจกรรม 3 มิติ 5 อุตสาหกรรม

LPI วัดผลการดำเนินงานขององค์กรภายใต้ 5 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่:

  1. อาหาร
  2. สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
  3. ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
  4. ชิ้นส่วนยานยนต์
  5. พลาสติก

3 มิติ ที่เป็นตัวชี้วัดหลักได้แก่:

  • มิติด้าน: ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นเมื่อสามารถลดต้นทุนได้
  • มิติด้านเวลา: ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเมื่อระยะเวลาการดำเนินการลดลง
  • มิติด้านความน่าเชื่อถือ: ประสิทธิภาพดีขึ้นตามความแม่นยำและเชื่อถือได้ที่เพิ่มขึ้น

9 กิจกรรมหลักในโลจิสติกส์

  1. การให้บริการลูกค้าและกิจกรรมสนับสนุน (Customer and Support)
    มุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วยสินค้าและบริการที่ถูกต้องและตรงตามเวลา ลดต้นทุนในการให้บริการ โดยการจัดการการจัดส่งและบริการหลังการขายให้มีประสิทธิภาพ
  2. การจัดซื้อจัดหา ( and Procurement)
    กระบวนการคัดเลือกและจัดหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพจากซัพพลายเออร์ การเจรจาต่อรองและควบคุมคุณภาพเพื่อลดความเสี่ยง
  3. การสื่อสารด้านโลจิสติกส์และการสั่งซื้อ (Logistics Communication and Order Processing)
    เชื่อมโยงการสั่งซื้อวัตถุดิบ การติดตามสถานะคำสั่งซื้อ และการสื่อสารกับซัพพลายเออร์ให้มีความโปร่งใสและแม่นยำ
  4. การขนส่ง ()
    เลือกใช้โหมดการขนส่งที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งทางถนน, ราง, อากาศ และทางน้ำ เพื่อให้การเคลื่อนย้ายสินค้ามีต้นทุนต่ำและประหยัดเวลา
  5. การเลือกสถานที่ตั้งของโรงงานและคลังสินค้า ( Site Selection, Warehousing and Storage)
    การตัดสินใจเลือกทำเลที่ตั้งที่ช่วยและปรับปรุงระดับการบริการลูกค้า
  6. การวางแผนหรือคาดการณ์ความต้องการของลูกค้า (Demand Forecasting and Planning)
    คำนวณความต้องการล่วงหน้าเพื่อวางแผนการผลิตและการจัดส่งที่เหมาะสม ตอบสนองความต้องการได้อย่างแม่นยำ
  7. การบริหารสินค้าคงคลัง (Inventory Management)
    ควบคุมปริมาณสินค้าคงคลังให้เพียงพอกับความต้องการ รวมถึงจัดการคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ
  8. การจัดการเครื่องมือและบรรจุภัณฑ์ ( and )
    เลือกเครื่องจักรที่เหมาะสมและการบรรจุหีบห่อที่ปกป้องสินค้าจากความเสียหาย พร้อมดึงดูดความสนใจของลูกค้า
  9. โลจิสติกส์ย้อนกลับ (Reverse Logistics)
    จัดการกับของเสียและสินค้าคืนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและรักษาสิ่งแวดล้อม

ตัวอย่าง: การประยุกต์ใช้ 9 กิจกรรม 3 มิติ 5 อุตสาหกรรมในอุตสาหกรรมอาหาร

  1. การให้บริการลูกค้าและกิจกรรมสนับสนุน (Customer Service and Support)
    ในอุตสาหกรรมอาหาร ความต้องการจัดส่งสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์นม ต้องการการควบคุมอุณหภูมิที่แม่นยำ การให้บริการลูกค้าที่รวดเร็วด้วยการจัดส่งตรงตามเวลาและในสภาพสมบูรณ์ ช่วยสร้างความพึงพอใจและความเชื่อถือในแบรนด์
  2. การจัดซื้อจัดหา (Purchasing and Procurement)
    โรงงานผลิตอาหารต้องจัดซื้อวัตถุดิบ เช่น นมสดจากเกษตรกรในท้องถิ่น การบริหารความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ที่มีความน่าเชื่อถือ และการตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบในทุกขั้นตอนเป็นเรื่องสำคัญ
  3. การสื่อสารด้านโลจิสติกส์และการสั่งซื้อ (Logistics Communication and Order Processing)
    เมื่อโรงงานอาหารสั่งซื้อวัตถุดิบจากหลายแห่ง กระบวนการสื่อสารที่แม่นยำกับซัพพลายเออร์ รวมถึงการติดตามสถานะการสั่งซื้อเป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันการขาดวัตถุดิบที่อาจทำให้การผลิตหยุดชะงัก
  4. การขนส่ง (Transportation)
    ในกรณีของผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง ระบบการขนส่งต้องรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสมตลอดเส้นทาง เพื่อป้องกันสินค้าสูญเสียคุณภาพ การเลือกใช้ยานพาหนะที่เหมาะสมและการวางแผนเส้นทางจึงเป็นเรื่องสำคัญ
  5. การเลือกสถานที่ตั้งของโรงงานและการจัดการคลังสินค้า (Facilities Site Selection, Warehousing and Storage)
    โรงงานผลิตนมอาจเลือกตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งผลิตวัตถุดิบ เช่น ฟาร์มเลี้ยงวัว เพื่อลดระยะเวลาขนส่งและรักษาความสดของนมได้ดีที่สุด นอกจากนี้ การจัดเก็บในคลังสินค้าที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิยังช่วยรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์
  6. การวางแผนหรือการคาดการณ์ความต้องการของลูกค้า (Demand Forecasting and Planning)
    การคาดการณ์ยอดขายของนมพาสเจอร์ไรส์ต้องอิงข้อมูลฤดูกาลและพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้า เช่น ในช่วงฤดูร้อนยอดขายอาจสูงขึ้น การวางแผนผลิตที่สอดคล้องกับความต้องการช่วยป้องกันการเสียโอกาสทางการตลาดและลดสินค้าค้างสต็อก
  7. การบริหารสินค้าคงคลัง (Inventory Management)
    การจัดการสินค้าคงคลังอาหารที่มีวันหมดอายุสั้น เช่น ผลิตภัณฑ์นม ต้องให้ความสำคัญกับการหมุนเวียนสินค้า (FIFO) เพื่อให้สินค้าที่เก่ากว่าออกจากสต็อกก่อน ลดการสูญเสียจากสินค้าที่หมดอายุ
  8. การจัดการเครื่องมือและบรรจุภัณฑ์ (Material Handling and Packaging)
    การเลือกบรรจุภัณฑ์ที่คงความสดของอาหารและป้องกันการเสียหายระหว่างการขนส่งเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์ยังควรออกแบบให้มีความน่าสนใจและช่วยสื่อสารคุณค่าของสินค้าแก่ลูกค้า
  9. โลจิสติกส์ย้อนกลับ (Reverse Logistics)
    ในกรณีที่ต้องรับคืนสินค้าที่หมดอายุหรือเสียหายจากร้านค้าปลีก โลจิสติกส์ย้อนกลับจะช่วยนำสินค้ามาจัดการอย่างถูกต้อง ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเพิ่มการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และข้อเสียหายของการประยุกต์ใช้ “9 กิจกรรม 3 มิติ 5 อุตสาหกรรม” ในการพัฒนา Logistics Performance Index (LPI) ผ่านตาราง:

หัวข้อข้อดีข้อเสียประโยชน์ข้อเสียหาย
การให้บริการลูกค้าและกิจกรรมสนับสนุน– สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
– เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
– อาจเกิดต้นทุนเพิ่มจากการต้องรักษาคุณภาพสูงสุดในทุกขั้นตอน– ลูกค้าได้รับสินค้าที่ตรงตามความต้องการและคงคุณภาพ
– ช่วยสร้างความเชื่อถือและรักษาฐานลูกค้า
– หากเกิดความผิดพลาดในการให้บริการ อาจทำให้เสียชื่อเสียงได้
การจัดซื้อจัดหา– สามารถคัดเลือกซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้
– มีความยืดหยุ่นในการเลือกวัตถุดิบ
– ต้องใช้เวลาและทรัพยากรในการบริหารจัดการหลายด้าน– ลดความเสี่ยงในการขาดแคลนวัตถุดิบ
– เพิ่มความสามารถในการควบคุมต้นทุน
– หากซัพพลายเออร์ล่าช้า อาจกระทบต่อทั้งกระบวนการผลิตและส่งมอบ
การสื่อสารและการสั่งซื้อ– เพิ่มความแม่นยำในการดำเนินงาน
– ลดข้อผิดพลาดในการสื่อสาร
– ต้องลงทุนในระบบเทคโนโลยีที่ซับซ้อน– กระบวนการทำงานราบรื่น
– ป้องกันปัญหาขาดวัตถุดิบและสินค้าคงคลังต่ำเกินไป
– หากระบบล่มหรือข้อมูลผิดพลาด อาจส่งผลกระทบต่อทั้งองค์กร
การขนส่ง– ลดระยะเวลาในการจัดส่ง
– เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า
– ต้นทุนขนส่งอาจสูงขึ้นหากต้องการความรวดเร็วหรือควบคุมสภาพแวดล้อมพิเศษ– ส่งมอบสินค้าตามกำหนดเวลา
– ลดความสูญเสียจากการขนส่งไม่ดี
– การขนส่งล่าช้าหรือสินค้าชำรุดอาจทำให้เสียลูกค้าได้
การเลือกสถานที่ตั้งและคลังสินค้า– เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บและการกระจายสินค้า– ต้องใช้ทรัพยากรในการวางแผนและก่อสร้างสถานที่ตั้ง– ลดต้นทุนการขนส่ง
– เพิ่มความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า
– การตัดสินใจที่ผิดพลาดอาจทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจและเพิ่มต้นทุน
การคาดการณ์ความต้องการ– วางแผนการผลิตและสต็อกได้อย่างแม่นยำ
– ลดโอกาสขาดแคลนหรือมีสินค้าค้างสต็อกมากเกินไป
– ข้อมูลอาจไม่แม่นยำหากปัจจัยตลาดเปลี่ยนแปลงเร็ว– สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันท่วงที– การคาดการณ์ผิดพลาดอาจทำให้เกิดสินค้าค้างสต็อกหรือต้นทุนเกินจำเป็น
การบริหารสินค้าคงคลัง– ลดต้นทุนการจัดเก็บ
– เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสต็อก
– การจัดการซับซ้อนและต้องการระบบที่มีประสิทธิภาพ– รักษาระดับสินค้าคงคลังให้พอดีกับความต้องการ
– ลดการสูญเสียจากสินค้าล้าสมัย
– หากจัดการไม่ดี อาจเกิดสินค้าค้างสต็อกหรือล้าสมัยซึ่งส่งผลต่อกำไร
การจัดการเครื่องมือและบรรจุภัณฑ์– ป้องกันความเสียหายของสินค้า
– ช่วยสื่อสารคุณค่าของผลิตภัณฑ์
– ต้องใช้ทรัพยากรในการออกแบบและเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสม– ลดความเสี่ยงจากความเสียหายในการขนส่ง
– เพิ่มการดึงดูดลูกค้าผ่านบรรจุภัณฑ์
– บรรจุภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมอาจเพิ่มต้นทุนและลดคุณค่าของสินค้า
โลจิสติกส์ย้อนกลับ– ช่วยรักษาทรัพยากรและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม– อาจต้องใช้เวลามากในการบริหารจัดการ– เพิ่มความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ
– ลดของเสียและช่วยลดต้นทุนในระยะยาว
– หากระบบไม่ดี อาจเกิดความสูญเสียมากขึ้นจากการบริหารจัดการไม่ดี

สรุป

การประยุกต์ใช้ 9 กิจกรรม 3 มิติ 5 อุตสาหกรรมช่วยให้อุตสาหกรรมอาหารสามารถวางแผนและดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพิ่มความเร็ว และรักษาความน่าเชื่อถือในทุกกระบวนการโลจิสติกส์ ทำให้สามารถแข่งขันได้ในตลาด

ที่มา: