(Cost of Transportation) ต้นทุนของการขนส่งคือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการเคลื่อนย้ายหรือจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ต้นทุนนี้รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการขนส่ง เช่น ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าซ่อมบำรุง ค่าประกันภัย และค่าแรงงาน ซึ่งส่งผลต่อการกำหนดราคาสินค้าหรือบริการ รวมถึงประสิทธิภาพในการทำงานของธุรกิจ

ต้นทุนของการขนส่ง (Cost of Transportation)

ต้นทุนการขนส่งแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ ต้นทุนคงที่ ต้นทุนรวม และต้นทุนเที่ยวกลับ

  1. ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost):
    เป็นต้นทุนที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามปริมาณการขนส่ง ไม่ว่าจะขนส่งมากหรือน้อย ต้นทุนนี้ยังคงเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น ค่าเช่าอาคาร ค่าประกันภัย ค่าทะเบียนรถ ค่าบำรุงรักษาที่ยังคงต้องจ่ายเป็นประจำ แม้ว่าจะไม่มีการขนส่งก็ตาม
    • ตัวอย่าง: บริษัท A ต้องเช่าโกดังเก็บสินค้าในราคา 50,000 บาทต่อเดือน ค่าเช่านี้จะต้องจ่ายไม่ว่าบริษัทจะมากหรือน้อย
  2. ต้นทุนผันแปร (Variable Cost):
    ต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงตามปริมาณการขนส่ง หากมีการขนส่งมากขึ้น ต้นทุนผันแปรก็จะเพิ่มขึ้นตาม ตัวอย่างเช่น ค่าน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุง และค่าจ้างแรงงานที่เกิดขึ้นเฉพาะเมื่อมีการขนส่ง
    • ตัวอย่าง: หากรถขนส่งของบริษัท A ต้องเดินทางไกลขึ้น ต้นทุนค่าน้ำมันก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
  3. ต้นทุนรวม (Total Cost):
    เป็นการรวมต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปรเข้าด้วยกัน ใช้ในการคำนวณต้นทุนรวมของการขนส่งทั้งระบบ ตัวอย่างเช่น การขนส่งทางรถไฟที่มีทั้งต้นทุนคงที่ เช่น ค่าบำรุงรางรถไฟ และต้นทุนผันแปร เช่น ค่าน้ำมันและเครื่องยนต์
    • ตัวอย่าง: หากบริษัท B มีต้นทุนคงที่ 100,000 บาท และต้นทุนผันแปร 50,000 บาทต่อเดือน ต้นทุนรวมจะเป็น 150,000 บาท
  4. ต้นทุนเที่ยวกลับ (Back Haul Cost):
    เป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นเมื่อขากลับจากการขนส่งไม่มีสินค้าในการบรรทุก ทำให้สูญเสียโอกาสในการเพิ่มรายได้ ถือเป็นต้นทุนที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะทำให้เกิดการสูญเปล่า
    • ตัวอย่าง: บริษัท C ขนส่งสินค้าไปส่งยังจังหวัดหนึ่ง และเมื่อขากลับไม่ได้บรรทุกสินค้ากลับมา ต้นทุนเที่ยวกลับนี้ยังคงเกิดขึ้นแต่ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่ม

การ

ให้คุ้มค่าเป็นเรื่องสำคัญที่สามารถช่วยเพิ่มกำไรและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ นี่คือวิธีการที่สามารถนำไปใช้ได้:

  1. เส้นทางการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ
    การวางแผนเส้นทางการขนส่งอย่างดีสามารถลดระยะทางที่ต้องเดินทางและเวลาในการขนส่ง ซึ่งจะช่วยลดค่าน้ำมันและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าซ่อมบำรุง
    • ตัวอย่าง: ใช้ซอฟต์แวร์จัดการเส้นทางที่ช่วยค้นหาเส้นทางที่สั้นที่สุดหรือเส้นทางที่หลีกเลี่ยงการจราจรหนาแน่น
  2. เลือกผู้ให้บริการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ
    การเลือกผู้ให้บริการที่มีประสิทธิภาพและมีสามารถช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้
    • ตัวอย่าง: ทำการเปรียบเทียบราคาและบริการจากหลายบริษัทขนส่ง เพื่อเลือกตัวเลือกที่ดีที่สุด
  3. ในการใช้พื้นที่บรรทุก
    การบรรทุกสินค้าด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดจำนวนเที่ยวที่ต้องใช้ในการขนส่งและลดต้นทุนต่อหน่วย
    • ตัวอย่าง: ใช้กล่องและพาเลทที่เหมาะสมเพื่อให้การบรรทุกเต็มที่และลดพื้นที่ว่าง
  4. ลดต้นทุนผันแปร
    ควบคุมค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงตามปริมาณการขนส่ง เช่น ค่าน้ำมัน โดยการเลือกใช้รถที่ประหยัดน้ำมันหรือใช้การบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ
    • ตัวอย่าง: ใช้รถขนส่งที่มีการประหยัดน้ำมันดีและตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ
  5. จัดการต้นทุนคงที่อย่างมีประสิทธิภาพ
    ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามปริมาณการขนส่ง เช่น ค่าเช่าสถานที่ หรือค่าเสื่อมราคาทรัพย์สิน โดยการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
    • ตัวอย่าง: พิจารณาลดขนาดพื้นที่เช่าหรือใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อลดต้นทุนการบำรุงรักษา
  6. ใช้เทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติ
    การใช้เทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติในการจัดการและติดตามการขนส่งสามารถช่วยลดความผิดพลาดและปรับปรุงประสิทธิภาพ
    • ตัวอย่าง: ใช้ซอฟต์แวร์จัดการขนส่ง (TMS) เพื่อติดตามสถานะของการขนส่งและปรับแผนได้ทันที
  7. วิเคราะห์ข้อมูลและทำการปรับปรุง
    ใช้ข้อมูลจากการขนส่งเพื่อวิเคราะห์ต้นทุนและหาจุดที่สามารถปรับปรุงได้
    • ตัวอย่าง: วิเคราะห์ข้อมูลค่าใช้จ่ายการขนส่งเพื่อหาจุดที่มีค่าใช้จ่ายสูงและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์