การจัดซื้อในห่วง () คืออะไร? มีผลต่อโลจิสติกส์อย่างไรบ้าง?

การจัดซื้อใน () คืออะไร ?

การจัดซื้อในห่วงโซ่อุปทาน (Purchasing) หมายถึงกระบวนการที่บุคคลหรือองค์กรทำสัญญากับผู้จัดหา (Vendor) เพื่อจัดหาวัตถุดิบ ชิ้นส่วน อุปกรณ์ หรือสินค้าสำเร็จรูปที่จำเป็นต่อการผลิตและดำเนินธุรกิจ การจัดซื้อมีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นคงในห่วงโซ่อุปทาน และยังเป็นปัจจัยหลักในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ

บทบาทของการจัดซื้อที่มีต่อการจัดการโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน

  1. ด้านการผลิต
    • สนับสนุนการผลิตอย่างต่อเนื่อง: การจัดซื้อที่มีประสิทธิภาพช่วยให้วัตถุดิบและชิ้นส่วนมีพร้อมเสมอ ไม่ให้เกิดการหยุดชะงักในสายการผลิต ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการส่งมอบตามกำหนด
    • ลดของเสียในสายการผลิต: เมื่อจัดซื้อวัตถุดิบที่มีคุณภาพ จะช่วยลดการสูญเสียและข้อบกพร่องในกระบวนการผลิต ทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพสูงขึ้น
    • เพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์: วัตถุดิบที่มีมาตรฐานจะช่วยให้การออกแบบและผลิตภัณฑ์สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
  2. ด้านต้นทุนและ
    • ลดต้นทุนการผลิต: การเจรจาซื้อวัตถุดิบในราคาที่เหมาะสม ช่วยลดต้นทุนในการผลิตและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาด
    • แสวงหาแหล่งวัตถุดิบสำรอง: การจัดหาวัตถุดิบจากแหล่งที่เชื่อถือได้และมีราคายุติธรรมทำให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นและสามารถลดจากการขาดแคลนวัตถุดิบ
    • ลดภาระค่าใช้จ่ายขององค์กร: เมื่อการจัดซื้อทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรสามารถลดภาระด้านค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นได้
  3. ด้านการตลาดและภาพลักษณ์ขององค์กร
    • การรักษาส่วนแบ่งตลาด: การจัดซื้อที่มีประสิทธิภาพช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและตรงเวลา ซึ่งมีผลต่อการรักษาและขยายส่วนแบ่งทางการตลาด
    • สร้างภาพลักษณ์ที่ดี: การจัดหาวัตถุดิบหรือสินค้าที่มีคุณภาพและทันกับความต้องการ ทำให้องค์กรมีภาพลักษณ์ที่ดีต่อทั้งลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

ประเภทของสิ่งที่ธุรกิจต้องการจัดซื้อ

  1. วัตถุดิบ (Raw Materials)
  2. ชิ้นส่วน อุปกรณ์ หรือส่วนประกอบ (Components)
  3. วัสดุสำหรับการซ่อมบำรุงและการผลิต (Maintenance, Repair, and Operating Materials)
  4. สินค้าหรือเครื่องมือประเภททุน (Investment or Capital Equipment)
  5. สินค้าสำเร็จรูป (Finished Goods)
  6. การบริการ (Services)

ตารางเพื่อเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และค่าเสียเวลาของการจัดซื้อในห่วงโซ่อุปทาน

หัวข้อข้อดีข้อเสียประโยชน์ค่าเสียเวลา
การจัดซื้อที่มีประสิทธิภาพ– ลดต้นทุนการผลิต – รักษาคุณภาพวัตถุดิบที่นำมาใช้– อาจต้องเจรจาต่อรองและใช้เวลามากในการหาผู้จัดหาที่เหมาะสม– ทำให้การผลิตดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง– การเจรจาที่นานอาจส่งผลให้เสียโอกาสในการจัดซื้อที่รวดเร็วจากผู้จัดหารายอื่น
การกระจายแหล่งผู้จัดหา– ลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนวัตถุดิบ– ต้องใช้ทรัพยากรมากขึ้นในการบริหารจัดการหลายแหล่งจัดซื้อ– เพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการวัตถุดิบ– การประสานงานกับผู้จัดหาหลายรายอาจใช้เวลามากกว่าการพึ่งพาผู้จัดหารายเดียว
การเลือกวัตถุดิบคุณภาพสูง– ลดของเสียในสายการผลิต– อาจมีต้นทุนที่สูงกว่าวัตถุดิบคุณภาพต่ำ– ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีคุณภาพสูงขึ้น สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและลดข้อร้องเรียน– การและควบคุมคุณภาพวัตถุดิบอาจต้องใช้เวลามากขึ้น
การใช้ระบบ ERP– ช่วยให้การจัดการการสั่งซื้อและสต็อกมีประสิทธิภาพ– ต้องลงทุนในระบบและการฝึกอบรมพนักงาน– ลดข้อผิดพลาดในการสั่งซื้อและช่วยให้การจัดการโลจิสติกส์แม่นยำมากขึ้น– ช่วงแรกของการใช้งานอาจต้องใช้เวลาปรับตัว และการติดตั้งระบบอาจใช้เวลานาน
การจัดซื้อในราคาต่ำ– ช่วยประหยัดต้นทุนในการผลิต– อาจได้รับวัตถุดิบคุณภาพต่ำที่ส่งผลเสียต่อผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตในระยะยาว– ลดต้นทุนรวมของบริษัท– หากสินค้ามีคุณภาพต่ำ อาจต้องเสียเวลาในการตรวจสอบหรือคืนสินค้า รวมถึงการหยุดการผลิตเพื่อรอวัตถุดิบใหม่ที่มีคุณภาพดีกว่า

ตัวอย่างง่าย ๆ ของ การจัดซื้อในห่วงโซ่อุปทาน (Purchasing) สามารถอธิบายได้ดังนี้:

สถานการณ์: ร้านกาแฟเล็ก ๆ เปิดใหม่ที่ต้องการซื้อเมล็ดกาแฟ วัตถุดิบ และอุปกรณ์สำหรับทำกาแฟ

ขั้นตอนการจัดซื้อในห่วงโซ่อุปทาน:

  1. การกำหนดความต้องการ: เจ้าของร้านกำหนดว่าต้องการเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพสูง นมสด และเครื่องทำกาแฟคุณภาพดี
  2. การค้นหาผู้จัดหา (Vendors): เจ้าของร้านค้นหาผู้จัดหาที่มีชื่อเสียง เช่น ผู้จัดหาเมล็ดกาแฟที่สามารถส่งวัตถุดิบได้ตรงเวลาและมีคุณภาพที่ต้องการ
  3. การเจรจาต่อรองราคา: เจ้าของร้านพูดคุยและเจรจาราคากับผู้จัดหาหลายรายเพื่อหาข้อเสนอที่ดีที่สุด โดยพิจารณาจากทั้งราคา คุณภาพ และเงื่อนไขการส่งมอบ
  4. การทำสัญญาและสั่งซื้อ: เมื่อได้ผู้จัดหาที่เหมาะสมแล้ว เจ้าของร้านจึงทำสัญญาและสั่งซื้อสินค้า
  5. การรับสินค้าและตรวจสอบคุณภาพ: เมื่อได้รับสินค้า เจ้าของร้านจะตรวจสอบว่าเมล็ดกาแฟมีคุณภาพตรงตามที่ต้องการหรือไม่ และตรวจสอบว่าเครื่องทำกาแฟสามารถใช้งานได้ดีหรือไม่
  6. การติดตามและบริหารสต็อก: เจ้าของร้านติดตามปริมาณวัตถุดิบและสั่งซื้อเพิ่มเมื่อใกล้หมด เพื่อไม่ให้เกิดการขาดแคลนเมล็ดกาแฟในระหว่างการดำเนินธุรกิจ

ประโยชน์: เมื่อมีการจัดซื้อที่มีประสิทธิภาพ ร้านกาแฟก็จะสามารถดำเนินงานได้อย่างราบรื่น มีวัตถุดิบพร้อมขายตลอดเวลา และสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างข้อเสียหากการจัดซื้อไม่มีประสิทธิภาพ: หากเจ้าของร้านเลือกผู้จัดหาที่มีราคาถูกแต่คุณภาพไม่ดี อาจทำให้กาแฟที่ชงออกมามีรสชาติแย่ ส่งผลให้ลูกค้าไม่พอใจและอาจเสียลูกค้าไปในที่สุด

ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าการจัดซื้อในห่วงโซ่อุปทานเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากที่ส่งผลต่อคุณภาพสินค้าและการดำเนินงาน

ตารางตัวอย่างการจัดซื้อในห่วงโซ่อุปทาน (Purchasing) แบบเข้าใจง่าย:

ขั้นตอนคำอธิบายตัวอย่างจากร้านกาแฟ
1. การกำหนดความต้องการระบุวัตถุดิบหรือสินค้าที่ต้องการจัดซื้อเจ้าของร้านกาแฟต้องการเมล็ดกาแฟคุณภาพสูง นมสด และเครื่องทำกาแฟ
2. การค้นหาผู้จัดหา (Vendors)ค้นหาผู้จัดหาที่น่าเชื่อถือที่สามารถส่งมอบสินค้าได้ตรงตามความต้องการเจ้าของร้านค้นหาผู้จัดหาเมล็ดกาแฟจากโรงคั่วในท้องถิ่นและต่างประเทศเพื่อเปรียบเทียบคุณภาพและราคา
3. การเจรจาต่อรองราคาเจรจาเงื่อนไขการจัดซื้อ เช่น ราคา ปริมาณ การ หรือเครดิตการชำระเงินเจ้าของร้านเจรจาราคากับโรงคั่วที่เลือกเพื่อให้ได้ราคาที่คุ้มค่าที่สุดและสามารถจัดส่งได้ตรงเวลา
4. การทำสัญญาและสั่งซื้อทำสัญญาจัดซื้อและสั่งซื้อสินค้าจากผู้จัดหาที่เลือกเมื่อได้ข้อเสนอที่ดีที่สุด เจ้าของร้านทำสัญญากับผู้จัดหาและสั่งซื้อเมล็ดกาแฟ นม และอุปกรณ์ที่ต้องการ
5. การรับสินค้าและตรวจสอบคุณภาพรับสินค้าและตรวจสอบว่าสินค้าตรงตามสเปคที่สั่งหรือไม่เจ้าของร้านตรวจสอบว่าเมล็ดกาแฟมีคุณภาพดี รสชาติที่ต้องการ และอุปกรณ์ทำกาแฟใช้งานได้ตามที่คาดหวัง
6. การติดตามและบริหารสต็อกติดตามปริมาณสินค้าคงคลังและสั่งซื้อเพิ่มเมื่อจำเป็นเจ้าของร้านติดตามปริมาณเมล็ดกาแฟและนมในสต็อกเพื่อสั่งซื้อเพิ่มเมื่อใกล้หมด ป้องกันการขาดแคลนวัตถุดิบที่จำเป็นในการให้บริการลูกค้า

สรุป

การจัดซื้อเป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จของการจัดการห่วงโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพ การลดต้นทุนในการผลิต ไปจนถึงการส่งเสริมภาพลักษณ์ขององค์กรที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ