สรุปจบเข้าใจง่าย: จุดสั่งซื้อซ้ำ (Reorder Point) พร้อมวิธีคำนวณ
จุดสั่งซื้อซ้ำ (Reorder Point) คืออะไร?
จุดสั่งซื้อซ้ำ หรือที่เรียกว่า “Reorder Point” เป็นกลยุทธ์ในการจัดการสินค้าคงคลังที่สำคัญ เพื่อป้องกันการขาดแคลนสินค้าด้วยการกำหนดปริมาณสินค้าคงคลังส่วนหนึ่งเป็น “สินค้าปลอดภัย” (Safety Stock) การกำหนดปริมาณสินค้าปลอดภัยจะพิจารณาจากระดับการให้บริการ (Service Level) ซึ่งอาจตั้งไว้ที่ 90%, 95%, หรือ 99% ขึ้นอยู่กับความต้องการและลักษณะการดำเนินงานของบริษัท
วิธีการคำนวณจุดสั่งซื้อซ้ำ
การคำนวณจุดสั่งซื้อซ้ำขึ้นอยู่กับปริมาณสินค้าคงคลังที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในช่วงเวลานำ (Lead Time) ข้อมูลที่สำคัญในการคำนวณนี้คือ:
- เวลานำ (Lead Time): ระยะเวลาที่ต้องรอหลังจากสั่งซื้อจนกว่าจะได้รับสินค้า
- อัตราการใช้สินค้า (Demand Rate): ปริมาณการใช้สินค้าต่อวัน
เพื่อคำนวณจุดสั่งซื้อซ้ำ, ใช้สูตรดังนี้:
จุดสั่งซื้อซ้ำ = เวลานำ × อัตราการใช้สินค้า
ตัวอย่างการคำนวณจุดสั่งซื้อซ้ำ
สมมติว่าบริษัทหนึ่งใช้ส่วนประกอบโดยเฉลี่ยวันละ 2 หน่วย และเวลานำในการสั่งซื้อแต่ละครั้งคือ 5 วัน บริษัทควรจะสั่งซื้อเมื่อจำนวนส่วนประกอบในสต็อกลดลงเหลือ 10 หน่วย ซึ่งเป็นปริมาณที่คาดว่าจะใช้ระหว่าง 5 วันที่รอสินค้าสั่งซื้อใหม่
- อัตราการใช้สินค้า: 2 หน่วยต่อวัน
- เวลานำ: 5 วัน
คำนวณ:
จุดสั่งซื้อซ้ำ = 5วัน × 2หน่วย/วัน = 10 หน่วย
ดังนั้น บริษัทจะต้องสั่งซื้อส่วนประกอบใหม่เมื่อจำนวนส่วนประกอบในสต็อกลดลงเหลือ 10 หน่วย เพื่อป้องกันการขาดแคลนสินค้าในช่วงเวลาที่ต้องรอ
ตัวอย่างการคำนวณจุดสั่งซื้อซ้ำในหลายบริบทเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น:
1. การคำนวณจุดสั่งซื้อซ้ำในชีวิตประจำวัน
สมมติฐาน
- สินค้า: นม
- อัตราการใช้สินค้า: 1 ขวดต่อวัน
- เวลานำ: 2 วัน
คำนวณ
- ปริมาณการใช้สินค้าในช่วงเวลานำ = เวลานำ × อัตราการใช้สินค้า
- ปริมาณการใช้สินค้าในช่วงเวลานำ = 2วัน × 1ขวด/วัน = 2 ขวด
จุดสั่งซื้อซ้ำ: เมื่อเหลือนมในตู้เย็น 2 ขวด คุณควรไปซื้อเพิ่มเพื่อป้องกันไม่ให้ขาดแคลน
2. การคำนวณจุดสั่งซื้อซ้ำในโรงงานการผลิตสินค้า
สมมติฐาน
- วัสดุ: สกรู
- อัตราการใช้สินค้า: 500 ชิ้นต่อวัน
- เวลานำ: 7 วัน
คำนวณ
- ปริมาณการใช้สินค้าในช่วงเวลานำ = เวลานำ × อัตราการใช้สินค้า
- ปริมาณการใช้สินค้าในช่วงเวลานำ = 7วัน × 500ชิ้น/วัน = 3500 ชิ้น
จุดสั่งซื้อซ้ำ: เมื่อตรวจสอบสต็อกพบว่าสกรูเหลืออยู่ 3500 ชิ้น ควรทำการสั่งซื้อเพิ่ม
3. การคำนวณจุดสั่งซื้อซ้ำในการขนส่งสินค้า
สมมติฐาน
- สินค้า: กล่องบรรจุ
- อัตราการใช้สินค้า: 100 กล่องต่อวัน
- เวลานำ: 4 วัน
คำนวณ
- ปริมาณการใช้สินค้าในช่วงเวลานำ = เวลานำ × อัตราการใช้สินค้า
- ปริมาณการใช้สินค้าในช่วงเวลานำ = 4วัน × 100กล่อง/วัน = 400 กล่อง
จุดสั่งซื้อซ้ำ: เมื่อตรวจสอบสต็อกพบว่ามีเหลือกล่องบรรจุ 400 กล่อง ควรทำการสั่งซื้อเพิ่ม
4. การคำนวณจุดสั่งซื้อซ้ำในสำนักงาน
สมมติฐาน
- สินค้า: กระดาษเครื่องพิมพ์
- อัตราการใช้สินค้า: 50 รีมต่อเดือน
- เวลานำ: 1 เดือน
คำนวณ
- ปริมาณการใช้สินค้าในช่วงเวลานำ = เวลานำ × อัตราการใช้สินค้า
- ปริมาณการใช้สินค้าในช่วงเวลานำ = 1 เดือน × 50รีม/เดือน = 50 รีม
จุดสั่งซื้อซ้ำ: เมื่อตรวจสอบสต็อกพบว่ามีกระดาษเครื่องพิมพ์เหลือ 50 รีม ควรทำการสั่งซื้อเพิ่ม
การคำนวณจุดสั่งซื้อซ้ำในแต่ละบริบทช่วยให้เห็นภาพชัดเจนและเข้าใจถึงความสำคัญในการรักษาสต็อกให้เหมาะสมเพื่อป้องกันการขาดแคลนสินค้าในสถานการณ์ต่าง ๆ
ตารางสรุปข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ที่ได้รับ และค่าเสียโอกาสจากการใช้จุดสั่งซื้อซ้ำ (Reorder Point):
หัวข้อ | รายละเอียด |
---|---|
ข้อดี | – ป้องกันการขาดแคลนสินค้า – ช่วยให้การจัดการสต็อกมีประสิทธิภาพ – ลดความเสี่ยงในการหยุดชะงักของการผลิตหรือการดำเนินงาน – ช่วยในการวางแผนสั่งซื้ออย่างมีระเบียบ |
ข้อเสีย | – ต้องการข้อมูลที่แม่นยำ เช่น อัตราการใช้สินค้าและเวลานำ – อาจมีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้าคงคลัง – อาจต้องการการปรับปรุงและตรวจสอบข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ – อาจไม่เหมาะสำหรับสินค้าที่มีความต้องการผันผวนสูง |
ประโยชน์ที่ได้รับ | – เพิ่มความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า – ลดการขาดแคลนและความล่าช้าในการจัดส่ง – ลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บสินค้าคงคลัง – ช่วยในการวางแผนและควบคุมค่าใช้จ่ายในระยะยาว |
ค่าเสียโอกาส | – อาจเสียโอกาสในการจัดซื้อสินค้าราคาถูกกว่าในช่วงที่มีส่วนลด – การจัดเก็บสินค้าคงคลังมากเกินไปอาจทำให้มีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสูง – การใช้พื้นที่เก็บสินค้ามากเกินไปอาจลดพื้นที่สำหรับการใช้งานอื่น – หากข้อมูลไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดการสั่งซื้อเกินความจำเป็นและการเก็บสินค้าล้นสต็อก |
การใช้จุดสั่งซื้อซ้ำมีข้อดีหลายประการในการจัดการสินค้าคงคลัง แต่ยังมีข้อเสียและค่าเสียโอกาสที่ต้องพิจารณา การประเมินข้อดี ข้อเสีย และประโยชน์ที่ได้รับช่วยให้การตัดสินใจในการจัดการสต็อกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น