สรุปจบเข้าใจง่าย: ข้อดีและข้อเสียของระดับการกระจายสินค้า (Level of Distribution)
ระดับการกระจายสินค้า (Level of Distribution): ความสำคัญและการแบ่งประเภท
ระดับการกระจายสินค้า (Level of Distribution) หมายถึง ระดับของการจัดหาผลิตภัณฑ์ที่นักการตลาดใช้ในการจัดจำหน่ายสินค้า โดยความสำคัญของแต่ละระดับขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความสามารถในการผลิต ขนาดของตลาดเป้าหมาย ราคา และนโยบายการขาย จำนวนความต้องการของผู้บริโภค
การแบ่งระดับการกระจายสินค้าแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่:
- Exclusive Distribution (การกระจายแบบเฉพาะเจาะจง)
- รูปแบบการกระจายที่มีผู้ขายส่งเพียง 1 รายและผู้ขายปลีกหรือผู้กระจายสินค้าตั้งอยู่ในสถานที่เฉพาะเจาะจงเท่านั้น
- เหมาะสำหรับสินค้าหรูหราหรือสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น รถยนต์หรูหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าเฉพาะทาง
- ช่วยรักษาความพิเศษและความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์
- Intensive Distribution (การกระจายแบบเข้าถึงได้กว้าง)
- มุ่งเน้นการกระจายสินค้าสำหรับตลาดที่มีความต้องการสูง โดยสินค้าอาจมีการขายในสถานที่หลากหลาย เช่น ร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ต
- เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น บุหรี่ เบียร์ หรือขนมขบเคี้ยว
- สร้างความสะดวกให้กับผู้บริโภคที่ต้องการซื้อสินค้าได้ง่ายและรวดเร็ว
- Selective Distribution (การกระจายแบบคัดเลือก)
- การกระจายที่ผู้ผลิตเลือกสถานที่ในการขายสินค้าหรือจำนวนของผู้จัดจำหน่ายในพื้นที่นั้นๆ
- เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการควบคุมการกระจายสินค้าและรักษาคุณภาพ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องสำอาง
- ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถควบคุมวิธีการระบายสินค้าได้ดีและรักษาคุณภาพการบริการ
การเปรียบเทียบระดับการกระจายสินค้า
ระดับการกระจายสินค้า | ข้อดี | ข้อเสีย | ค่าใช้จ่ายเวลา | ประโยชน์ |
---|---|---|---|---|
Exclusive Distribution | – สร้างความพิเศษและเอกลักษณ์ของแบรนด์ – ควบคุมคุณภาพการบริการได้ดี – เพิ่มมูลค่าของสินค้า | – ขายได้ในปริมาณน้อย – ข้อจำกัดในการเข้าถึงตลาด – ต้องลงทุนสูงในแต่ละจุดขาย | – ใช้เวลาในการจัดการน้อยกว่าการกระจายแบบกว้าง – ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายในการเลือกผู้จัดจำหน่าย | – สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม – เพิ่มความน่าเชื่อถือของแบรนด์ |
Intensive Distribution | – เข้าถึงตลาดได้กว้าง – สามารถเพิ่มยอดขายได้รวดเร็ว – สะดวกสำหรับผู้บริโภคในการซื้อสินค้า | – ควบคุมคุณภาพการบริการได้ยาก – อาจมีการแข่งขันสูง – ค่าลงทุนสูงในการขยายตลาด | – ใช้เวลาในการกระจายสินค้าและจัดการมาก – ค่าใช้จ่ายในการจัดการหลายจุดขาย | – เพิ่มโอกาสในการขายและสร้างการรับรู้ของแบรนด์ – สะดวกสำหรับลูกค้าในการหาซื้อสินค้า |
Selective Distribution | – ควบคุมคุณภาพการบริการได้ดี – ลดการแข่งขันระหว่างร้านค้าตัวแทน – เลือกสถานที่ที่เหมาะสมในการขายสินค้า | – เข้าถึงตลาดได้น้อยกว่าการกระจายแบบเข้าถึงกว้าง – อาจมีข้อจำกัดในการขยายตลาด | – ใช้เวลาในการเลือกผู้จัดจำหน่ายและจัดการ – ค่าใช้จ่ายกลางๆ ในการขยายตลาด | – ควบคุมการกระจายสินค้าได้ดี – รักษาคุณภาพและบริการของแบรนด์ |
การใช้ตารางนี้ช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพรวมของแต่ละระดับการกระจายสินค้าและเข้าใจข้อดี ข้อเสีย ค่าใช้จ่ายเวลา และประโยชน์ของแต่ละประเภทได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจเลือกกลยุทธ์การกระจายสินค้าที่เหมาะสมกับธุรกิจของตนได้ดียิ่งขึ้น
ตัวอย่างของการใช้แต่ละระดับการกระจายสินค้า (Level of Distribution)
1. Exclusive Distribution (การกระจายแบบเฉพาะเจาะจง)
ตัวอย่าง:
- แบรนด์สินค้า: Rolex (นาฬิกาหรู)
- รายละเอียด: นาฬิกาของ Rolex มักจะถูกขายผ่านตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการคัดเลือกอย่างเคร่งครัดในสถานที่เฉพาะเจาะจง เช่น ร้านค้าหรูในย่านที่มีฐานลูกค้าระดับสูง
- ข้อดี: ลูกค้าสามารถรับบริการที่ดีที่สุดและซื้อสินค้าภายใต้สภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายและหรูหรา
- ข้อเสีย: การเข้าถึงตลาดอาจจำกัด และอาจต้องลงทุนสูงในแต่ละจุดขาย
2. Intensive Distribution (การกระจายแบบเข้าถึงได้กว้าง)
ตัวอย่าง:
- แบรนด์สินค้า: Coca-Cola (น้ำอัดลม)
- รายละเอียด: Coca-Cola ถูกจัดจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร และที่อื่นๆ ทั่วโลก ทำให้ผู้บริโภคสามารถหาซื้อได้ง่าย
- ข้อดี: การเข้าถึงตลาดกว้าง และสามารถเพิ่มยอดขายได้รวดเร็ว
- ข้อเสีย: การควบคุมคุณภาพการบริการและการจัดการสินค้าทำได้ยาก
3. Selective Distribution (การกระจายแบบคัดเลือก)
ตัวอย่าง:
- แบรนด์สินค้า: Apple (อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์)
- รายละเอียด: Apple ขายผลิตภัณฑ์ผ่านร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการคัดเลือก ซึ่งรวมถึงร้าน Apple Store และร้านค้าปลีกที่ได้รับอนุญาต
- ข้อดี: สามารถควบคุมคุณภาพการบริการได้ดี และลดการแข่งขันระหว่างร้านค้า
- ข้อเสีย: การเข้าถึงตลาดอาจจะน้อยกว่าแบบเข้าถึงกว้าง และอาจมีค่าใช้จ่ายในการจัดการสูง
การใช้ตัวอย่างเหล่านี้ช่วยให้เห็นภาพของแต่ละระดับการกระจายสินค้าในสถานการณ์จริง และทำให้เข้าใจถึงวิธีการที่แบรนด์ต่างๆ ใช้กลยุทธ์การกระจายสินค้าตามลักษณะของผลิตภัณฑ์และตลาดเป้าหมายของตน