สรุปจบ: Push System (ระบบผลัก) และ Pull System () ใน

Push System (ระบบผลัก) และ Pull System (ระบบดึง) เป็นหลักการในการจัดการพัสดุคงคลังและการไหลเวียนของวัสดุในระหว่างการผลิต ทั้งสองระบบนี้มีบทบาทสำคัญในการลดต้นทุนและในการให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค

Push System (ระบบผลัก) คืออะไร?

Push System คือการจัดการโดยการวางแผนจากศูนย์กลางหรือหน่วยงานหลัก เช่น ฝ่ายวางแผนการผลิตหรือฝ่ายการตลาด แผนนี้จะถูก “ผลัก” ไปตามลำดับขั้นของกระบวนการ เช่น การคาดคะเนอุปสงค์ของลูกค้า จากนั้นจึงผลิตสินค้าตามแผนที่กำหนดไว้ ส่งผลให้มีสินค้าพร้อมจำหน่ายทันทีที่ถึงร้านค้า

ข้อดีของ Push System:

  • สามารถควบคุมการผลิตได้ตามเป้าหมายชัดเจน
  • มีสินค้าเพียงพอพร้อมจำหน่ายทันที

ของ Push System:

  • เสี่ยงต่อการเกิดสินค้าค้างสต็อก (Overstock) หากคาดการณ์ผิดพลาด
  • ต้องแบกรับต้นทุนในการสำรองสินค้า

Pull System (ระบบดึง) คืออะไร?

Pull System คือการจัดการที่ใช้ความต้องการจริงของตลาดหรือลำดับขั้นต่อไปในการกำหนดการผลิต แผนนี้เกิดจากอุปสงค์ที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละขั้นตอน เช่น การผลิตที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าหรือที่เกิดขึ้น การผลิตจะถูก “ดึง” ตามความต้องการจริงโดยไม่ผลิตเกินความจำเป็น

ข้อดีของ Pull System:

  • ลดปัญหาสินค้าค้างสต็อก (Overstock) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้รวดเร็ว

ข้อเสียของ Pull System:

  • อาจเกิดปัญหาสินค้าขาดสต็อก (Stockout) หากการจัดการไม่เพียงพอ
  • ต้องการระบบการสื่อสารข้อมูลที่รวดเร็วและแม่นยำ

ประโยชน์ของ Push และ Pull System ต่อโลจิสติกส์

  • ลดต้นทุนในการจัดการพัสดุคงคลัง
  • เพิ่มความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า
  • ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน

ตารางเปรียบเทียบ Push System และ Pull System

ปัจจัยPush System (ระบบผลัก)Pull System (ระบบดึง)
การวางแผนจากศูนย์กลาง/หน่วยวางแผนหลักจากอุปสงค์ในลำดับขั้นต่อไป
การผลิตผลิตล่วงหน้าตามการคาดการณ์ผลิตตามความต้องการที่เกิดขึ้นจริง
ความเสี่ยงสินค้าค้างสต็อก (Overstock)สินค้าขาดสต็อก (Stockout)
ความยืดหยุ่นต่ำสูง

ผลกระทบต่อโลจิสติกส์

  • Push System อาจทำให้เกิดการเก็บสำรองสินค้าที่ไม่จำเป็น ส่งผลต่อพื้นที่เก็บสินค้าและต้นทุนในการจัดการ
  • Pull System ช่วยลดการเกิดสินค้าค้างสต็อกและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งตามความต้องการจริง แต่ต้องใช้ข้อมูลเรียลไทม์ที่แม่นยำเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดสต็อก

Q&A ทำให้เนื้อหากระชับ อ่านง่าย และตอบโจทย์การทบทวนเพื่อการสอบหรือทำการบ้าน

Q1: Push System (ระบบผลัก) คืออะไร?
A1: Push System คือการวางแผนการผลิตและการจัดการพัสดุคงคลังโดยหน่วยงานส่วนกลาง เช่น ฝ่ายการตลาดหรือฝ่ายวางแผนการผลิต แผนที่กำหนดจะถูก “ผลัก” ไปยังลำดับขั้นต่าง ๆ ของ เช่น การผลิตสินค้าและการส่งต่อไปยังและร้านค้าตามเป้าหมายที่วางไว้ล่วงหน้า

Q2: ข้อดีของ Push System มีอะไรบ้าง?
A2:

  • สามารถควบคุมปริมาณการผลิตตามแผนที่วางไว้ล่วงหน้า
  • มีสินค้าเพียงพอสำหรับจัดส่งทันที ทำให้ไม่พลาดโอกาสขาย

Q3: ข้อเสียของ Push System คืออะไร?
A3:

  • เสี่ยงต่อการเกิดสินค้าค้างสต็อก (Overstock) หากคาดการณ์ผิดพลาด
  • ต้นทุนในการเก็บรักษาสูงขึ้นจากการสำรองสินค้าไว้มากเกินไป

Q4: Pull System (ระบบดึง) คืออะไร?
A4: Pull System คือการจัดการพัสดุคงคลังที่เน้นการผลิตตามความต้องการจริงในแต่ละขั้นตอนของระบบ ตัวอย่างเช่น ในสายการผลิต แผนกหนึ่งจะผลิตเท่าที่แผนกถัดไปต้องการเท่านั้น การผลิตจะถูก “ดึง” ตามความต้องการจริงที่เกิดขึ้น โดยไม่ผลิตเกินความจำเป็น

Q5: ข้อดีของ Pull System มีอะไรบ้าง?
A5:

  • ลดปัญหาสินค้าค้างสต็อก (Overstock) ทำให้ไม่ต้องแบกรับต้นทุนในการเก็บรักษาสินค้าจำนวนมาก
  • ปรับตัวได้ดีกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของลูกค้า

Q6: ข้อเสียของ Pull System คืออะไร?
A6:

  • อาจเกิดปัญหาสินค้าขาดสต็อก (Stockout) หากไม่มีการจัดการที่ดี
  • ต้องใช้ข้อมูลเรียลไทม์ที่แม่นยำเพื่อคาดการณ์ความต้องการที่แท้จริง

Q7: Push System และ Pull System มีผลต่อโลจิสติกส์อย่างไร?
A7: Push System อาจทำให้เกิดการเก็บสินค้าที่ไม่จำเป็นและเพิ่มต้นทุนในการจัดการคลังสินค้า ขณะที่ Pull System ช่วยลดสินค้าค้างสต็อกและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งสินค้าตามความต้องการจริง แต่ต้องมีระบบการสื่อสารและการจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูง

Q8: ควรเลือกใช้ Push System หรือ Pull System ในการจัดการพัสดุคงคลัง?
A8: การเลือกใช้ระบบขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจ หากธุรกิจต้องการควบคุมการผลิตตามเป้าหมายที่แน่นอน Push System จะเหมาะสมกว่า แต่ถ้าต้องการลดต้นทุนและตอบสนองความต้องการจริงของตลาด Pull System จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

ตารางเปรียบเทียบ Push System และ Pull System

ปัจจัยPush System (ระบบผลัก)Pull System (ระบบดึง)
การวางแผนจากศูนย์กลาง/หน่วยวางแผนหลักจากอุปสงค์ในลำดับขั้นต่อไป
การผลิตผลิตล่วงหน้าตามการคาดการณ์ผลิตตามความต้องการที่เกิดขึ้นจริง
ความเสี่ยงสินค้าค้างสต็อก (Overstock)สินค้าขาดสต็อก (Stockout)
ความยืดหยุ่นต่ำสูง