เนื้อหา มีอะไรบ้างนะ!
สรุปจบ! ต้นทุนสินค้าคงคลัง (Inventory Cost) คืออะไร? เข้าใจประเภทและวิธีการจัดการเพื่อลดต้นทุนธุรกิจ
ต้นทุนของสินค้าคงคลัง (Inventory Cost): การจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน
การจัดการสินค้าคงคลังเป็นหัวใจสำคัญในกระบวนการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ซึ่งต้นทุนของสินค้าคงคลังแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ดังนี้:
1. ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อ (Ordering Cost)
เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการสั่งซื้อสินค้าคงคลัง ไม่ว่าจะเป็นค่าสั่งซื้อ, ค่าใช้จ่ายด้านเอกสาร, ค่าจ้างพนักงานจัดซื้อ, ค่าโทรศัพท์, ค่าขนส่ง, ค่าใช้จ่ายในการตรวจรับ และค่าธรรมเนียมต่างๆ การทำความเข้าใจว่าค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อมีลักษณะคงที่ในแต่ละครั้ง แต่จะแปรผันตรงกับความถี่ในการสั่งซื้อ จะช่วยในการวางแผนและลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา (Carrying Cost)
ต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการเก็บรักษาสินค้าคงคลัง รวมถึงต้นทุนด้านเงินทุน (ค่าดอกเบี้ยจ่ายหรือค่าเสียโอกาส), ค่าเช่าคลังสินค้า, ค่าความเสียหายจากสินค้าที่ชำรุดหรือหมดอายุ, ค่าภาษี, ค่าประกันภัย, และค่าจ้างพนักงาน การจัดการเพื่อให้สินค้าคงคลังอยู่ในระดับที่เหมาะสม ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นได้
3. ค่าใช้จ่ายเนื่องจากสินค้าขาดแคลน (Shortage Cost)
เมื่อสินค้าคงคลังไม่เพียงพอ ทำให้ธุรกิจต้องเผชิญกับการสูญเสียรายได้ การยกเลิกคำสั่งซื้อจากลูกค้า หรือการเสื่อมเสียชื่อเสียง ต้นทุนในส่วนนี้ยังรวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการสั่งซื้อพิเศษแบบเร่งด่วน หรือค่าปรับเนื่องจากการส่งสินค้าล่าช้า การวางแผนปริมาณสินค้าคงคลังที่เหมาะสมสามารถช่วยป้องกันปัญหานี้ได้
4. ค่าใช้จ่ายในการตั้งเครื่องจักรใหม่ (Setup Cost)
เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการปรับตั้งเครื่องจักรเพื่อเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต ซึ่งจะส่งผลต่อระดับสินค้าคงคลังและความเร็วในการผลิต ค่าใช้จ่ายนี้จะต่ำลงหากมีการผลิตในล็อตขนาดใหญ่ แต่จะสูงขึ้นหากมีการตั้งเครื่องจักรใหม่บ่อยครั้งในล็อตขนาดเล็ก
การหาสมดุลในการจัดการสินค้าคงคลัง
การจัดการต้นทุนสินค้าคงคลังต้องพิจารณาสมดุลระหว่างค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อ ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา ค่าใช้จ่ายเนื่องจากสินค้าขาดแคลน และค่าใช้จ่ายในการตั้งเครื่องจักรใหม่ ระดับสินค้าคงคลังที่เหมาะสมคือระดับที่รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วต่ำที่สุด เพื่อให้ธุรกิจสามารถลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตารางเพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น ดังนี้
ประเภทต้นทุน | รายละเอียด | ตัวอย่างค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง |
---|---|---|
ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อ (Ordering Cost) | ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการสั่งซื้อสินค้าคงคลัง คงที่ในแต่ละครั้ง แต่แปรผันตามความถี่ของการสั่งซื้อ | ค่าเอกสาร, ค่าจ้างพนักงานจัดซื้อ, ค่าโทรศัพท์, ค่าขนส่ง |
ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา (Carrying Cost) | ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการเก็บรักษาสินค้าคงคลังและรักษาสภาพสินค้า แปรผันตามปริมาณและระยะเวลา | ค่าคลังสินค้า, ค่าไฟฟ้า, ค่าดอกเบี้ย, ค่าภาษี, ค่าประกันภัย |
ค่าใช้จ่ายเนื่องจากสินค้าขาดแคลน (Shortage Cost) | ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากสินค้าคงคลังไม่เพียงพอ ส่งผลกระทบต่อการขายและชื่อเสียง | ค่าเสียโอกาส, ค่าปรับจากการส่งสินค้าล่าช้า, ค่าความเสียหายจากการเสียชื่อเสียง |
ค่าใช้จ่ายในการตั้งเครื่องจักรใหม่ (Setup Cost) | ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการปรับตั้งเครื่องจักรเพื่อผลิตสินค้าชุดใหม่ | ค่าเสียเวลาการตั้งเครื่อง, ค่าวัสดุเหลือทิ้ง |
สรุป: การหาสมดุลในระดับสินค้าคงคลังที่เหมาะสมจะช่วยลดต้นทุนรวมและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
ตัวอย่างประกอบในแต่ละประเภทต้นทุนจะช่วยให้เข้าใจภาพรวมได้ดีขึ้น ดังนี้
ประเภทต้นทุน | รายละเอียด | ตัวอย่างค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง | ตัวอย่างสถานการณ์ |
---|---|---|---|
ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อ (Ordering Cost) | ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการสั่งซื้อสินค้าคงคลัง คงที่ในแต่ละครั้ง แต่แปรผันตามความถี่ของการสั่งซื้อ | ค่าเอกสาร, ค่าจ้างพนักงานจัดซื้อ, ค่าโทรศัพท์, ค่าขนส่ง | บริษัท A สั่งซื้อวัตถุดิบทุกเดือน ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อ เช่น ค่าขนส่งและค่าดำเนินการจึงสูงขึ้นเมื่อสั่งซื้อบ่อย |
ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา (Carrying Cost) | ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการเก็บรักษาสินค้าคงคลังและรักษาสภาพสินค้า แปรผันตามปริมาณและระยะเวลา | ค่าคลังสินค้า, ค่าไฟฟ้า, ค่าดอกเบี้ย, ค่าภาษี, ค่าประกันภัย | โรงงาน B เก็บวัตถุดิบที่ต้องรักษาอุณหภูมิ ค่าคลังสินค้าและค่าไฟฟ้าจึงสูงเพราะต้องใช้เครื่องควบคุมอุณหภูมิตลอดเวลา |
ค่าใช้จ่ายเนื่องจากสินค้าขาดแคลน (Shortage Cost) | ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากสินค้าคงคลังไม่เพียงพอ ส่งผลกระทบต่อการขายและชื่อเสียง | ค่าเสียโอกาส, ค่าปรับจากการส่งสินค้าล่าช้า, ค่าความเสียหายจากการเสียชื่อเสียง | ร้าน C สต็อกสินค้าไม่พอ ทำให้ลูกค้าต้องรอนานและยกเลิกคำสั่งซื้อ ส่งผลให้ขาดรายได้และเสียชื่อเสียง |
ค่าใช้จ่ายในการตั้งเครื่องจักรใหม่ (Setup Cost) | ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการปรับตั้งเครื่องจักรเพื่อผลิตสินค้าชุดใหม่ | ค่าเสียเวลาการตั้งเครื่อง, ค่าวัสดุเหลือทิ้ง | โรงงาน D ต้องหยุดการผลิตเพื่อเปลี่ยนการตั้งค่าเครื่องจักรสำหรับการผลิตสินค้าใหม่ ทำให้เสียเวลาและมีวัสดุเหลือทิ้งจากการปรับเปลี่ยน |
Q&A สำหรับต้นทุนสินค้าคงคลัง (Inventory Cost)
สำหรับการสอบและการบ้านได้ง่ายขึ้น
Q: ต้นทุนสินค้าคงคลัง (Inventory Cost) คืออะไร?
A: ต้นทุนสินค้าคงคลังคือค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการและเก็บรักษาสินค้าคงคลังในธุรกิจ ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการสั่งซื้อ การเก็บรักษา การขาดแคลนสินค้า และการตั้งเครื่องจักรใหม่
Q: ต้นทุนสินค้าคงคลังมีประเภทอะไรบ้าง?
A: ต้นทุนสินค้าคงคลังแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก:
- ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อ (Ordering Cost)
- ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา (Carrying Cost)
- ค่าใช้จ่ายเนื่องจากสินค้าขาดแคลน (Shortage Cost)
- ค่าใช้จ่ายในการตั้งเครื่องจักรใหม่ (Setup Cost)
Q: ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อ (Ordering Cost) คืออะไร?
A: เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดำเนินการสั่งซื้อสินค้าคงคลัง เช่น ค่าคำสั่งซื้อ, ค่าเอกสาร, ค่าจ้างพนักงานจัดซื้อ, ค่าขนส่ง และค่าใช้จ่ายในการตรวจรับสินค้า
ตัวอย่าง: บริษัท A สั่งซื้อวัตถุดิบทุกเดือน ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อ เช่น ค่าขนส่งและค่าดำเนินการจะสูงขึ้นเมื่อสั่งซื้อบ่อย
Q: ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา (Carrying Cost) คืออะไร?
A: ต้นทุนที่เกิดจากการเก็บรักษาสินค้าคงคลัง รวมถึงค่าเช่าคลังสินค้า, ค่าดอกเบี้ย, ค่าภาษี, ค่าประกันภัย และค่าความเสียหายจากสินค้าที่ชำรุด
ตัวอย่าง: โรงงาน B เก็บวัตถุดิบที่ต้องรักษาอุณหภูมิ ค่าคลังสินค้าและค่าไฟฟ้าจะสูงเพราะต้องใช้เครื่องควบคุมอุณหภูมิตลอดเวลา
Q: ค่าใช้จ่ายเนื่องจากสินค้าขาดแคลน (Shortage Cost) คืออะไร?
A: ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการที่สินค้าคงคลังไม่เพียงพอ ส่งผลให้ธุรกิจสูญเสียรายได้ หรือเสื่อมเสียชื่อเสียง เช่น ค่าปรับจากการส่งสินค้าล่าช้า
ตัวอย่าง: ร้าน C สต็อกสินค้าไม่พอ ทำให้ลูกค้าต้องรอนานและยกเลิกคำสั่งซื้อ ส่งผลให้ขาดรายได้และเสียชื่อเสียง
Q: ค่าใช้จ่ายในการตั้งเครื่องจักรใหม่ (Setup Cost) คืออะไร?
A: ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการปรับตั้งเครื่องจักรเพื่อเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต เช่น ค่าเสียเวลาการตั้งเครื่องและค่าวัสดุเหลือทิ้ง
ตัวอย่าง: โรงงาน D ต้องหยุดการผลิตเพื่อเปลี่ยนการตั้งค่าเครื่องจักรสำหรับการผลิตสินค้าใหม่ ทำให้เสียเวลาและมีวัสดุเหลือทิ้ง
Q: วิธีการหาสมดุลในการจัดการสินค้าคงคลังคืออะไร?
A: การหาสมดุลในการจัดการสินค้าคงคลังคือการหาจุดที่รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วต่ำที่สุด เพื่อให้ธุรกิจลดต้นทุนรวมและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยต้องพิจารณาสมดุลระหว่างค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อ, การเก็บรักษา, การขาดแคลน, และการตั้งเครื่องจักรใหม่