() คืออะไร ?

ข้อดี

  • 1. การอ่านงบ เข้าใจได้ง่ายกว่าวิธี ขายมากก็กำไรมาก
  • 2. การวิเคราะห์ต้นทุน ปริมาณ และกำไร เนื่องจากมีการแยกออกเป็นรายการคงที่และผันแปรในงบกำไรขาดทุน ดังนั้นผู้บริหารสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของต้นทุน ปริมาณและกำไรของผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้น เพื่อนำไปใช้ในการกำหนดราคาขาย และปริมาณการขายเพื่อให้ได้กำไรที่ต้องการ
  • 3. การวัดผลการปฏิบัติงานของฝ่ายต่างๆ เพราะถือว่าในการผลิตคงที่ เป็นค่าใช้จ่ายประจำงวด และวัดผลการปฏิบัติงานจากค่าใช้จ่ายผันแปรที่อยู่ในความรับผิดชอบโดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่ายต่างๆที่ควบคุมไม่ได้ นับเป็นการวัดผลงานที่ยุติธรรม ง่าย สะดวกกว่าวิธีต้นทุนรวม
  • 4. วิธีต้นทุนผันแปร ช่วยให้การจัดทำและใช้งบประมาณได้ง่ายขึ้น โดยนำเอายอดขายจริง คูณ ต้นทุนผันแปรต่อหน่วย บวกค่าใช้จ่ายคงที่ ซึ่งวิธีการนี้ใช้ได้แม้ยอดขายจริงไม่เท่ากับงบประมาณก็ตาม
  • 5. การกำหนดราคาขาย เช่น การกำหนดราคาขายเป็นกรณีพิเศษโดยไม่คำนึงถึง โดยกำหนดให้คุ้มทุนกับต้นทุนผันแปร ใช้ได้เฉพาะระยะสั้นเท่านั้น มิฉะนั้นจะประสบปัญหาการขาดทุน

ข้อเสีย

  • 1. ถ้าเสนอต่อบุคคลภายนอจะเกิดการสับสน
  • 2. ใช้ในการพิจารณาขยายกำลังผลิต หรือ ยกเลิกการผลิตบางรายการไม่ได้
  • 3. ใช้ในการกำหนดราคาขาย(ลดราคาขาย) ในระยะสั้นเท่านั้น มิเช่นนั้นจะขาดทุน เพราะ เมื่อลดราคาแล้ว จำหน่ายได้มากขึ้น งบกำไรขาดทุนจะแสดงกำไรสูง
  • 4. การจำแนกต้นทุนผันแปร กับ คงที่ทำได้ยาก
  • 5.ทำให้ไม่ทราบผลิตเต็มกำลังผลิต หรือ ผลิตมีประสิทธิภาพหรือไม่ เพราะต้นทุนผันแปร จะกำหนดให้ค่าใช้จ่ายการผลิตคงที่เป็นค่าใช้จ่ายประจำงวดจึงไม่มีการคำนวณผลต่างเนื่องจากให้เห็นในงบกำไรขาดทุน
  • 6.ไม่เหมาะกับกิจการที่เครื่องจักรเป็นส่วนใหญ่

สรุป ควรมีการจัดทำงบกำไรขาดทุน ทั้ง 2 วิธี คือ วิธีต้นทุนผันแปร เพื่อให้มีข้อมูลประกอบการบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ และ วิธีต้นทุนรวม เพื่อให้เป็นไปตามหลักการบัญชีที่ยอมรับกันโดยทั่วไป