สรุปจบ: (Stock Keeping Unit) คืออะไร?

SKU (Stock Keeping Unit) หรือที่เรียกว่า เอสเคยู เป็นรหัสระบุสินค้าที่ใช้ในการจำแนกและติดตามสินค้าภายในคลังหรือระบบขายสินค้า โดย SKU นั้นจะต่างกันไปตามคุณสมบัติ เช่น ขนาด ประเภท สี หรือบรรจุภัณฑ์ของสินค้าชิ้นนั้นๆ

ทำไม SKU ถึงสำคัญ?

SKU ทำหน้าที่เป็น “รหัสเฉพาะ” ที่ช่วยในการแยกแยะสินค้าที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน ตัวอย่างเช่น แป้งประเภทเดียวกันอาจมีหลาย SKU ที่ต่างกัน เช่น สีของบรรจุภัณฑ์หรือขนาด ซึ่งทำให้สามารถจัดการสินค้าได้ง่ายขึ้น ทั้งในเรื่องการจัดเก็บ คลังสินค้า ไปจนถึงการบริหารจัดการสต็อกเพื่อการขายปลีก

ประโยชน์ของ SKU ในระบบและการจัดการสต็อก

  • ความชัดเจนในการจัดการสต็อก: ช่วยให้ผู้ผลิต ผู้จัดซื้อ ผู้ และผู้ขายปลีก สามารถเข้าใจข้อมูลสินค้าได้ตรงกัน ลดความสับสนและข้อผิดพลาดในการสั่งซื้อหรือจัดส่ง
  • การตอบสนองต่อความต้องการของตลาด: ทำให้สามารถคำนวณปริมาณสต็อกได้แม่นยำ รองรับการผลิตและการขายได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ให้เกิดสินค้าขาดแคลนหรือล้นสต็อก
  • การบริหารจัดการคลังสินค้า: ช่วยให้ง่ายต่อการนับจำนวนสินค้าและตรวจสอบสถานะของสินค้าในคลังอย่างมีประสิทธิภาพ

สรุปง่ายๆ

SKU คือรหัสเฉพาะของสินค้า ที่ช่วยในการจัดการและแยกแยะสินค้าต่างๆ ให้เข้าใจตรงกันในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ผู้ผลิตจนถึงผู้ขายปลีก ลดความสับสน เพิ่มความสะดวกในการจัดการสต็อก และทำให้การขายสินค้าดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

ขั้นตอนการนับ SKU แต่ละสินค้า

  1. การสร้าง SKU:
    • กำหนดโครงสร้าง SKU: ตั้งรหัส SKU ที่สามารถระบุรายละเอียดของสินค้าต่าง ๆ เช่น ยี่ห้อ, ชนิด, ขนาด, สี เป็นต้น
    • ตั้งรหัส SKU: สร้างรหัส SKU ที่ไม่ซ้ำกันเพื่อแยกแยะสินค้าต่าง ๆ เช่น A-JM-5KG-200 สำหรับข้าวหอม A ขนาด 5 กิโลกรัม ราคา 200 บาท
  2. การบันทึกข้อมูล SKU:
    • ป้อนข้อมูลลงในระบบ: บันทึกข้อมูล SKU ของสินค้าแต่ละรายการในระบบ เช่น โปรแกรม ERP หรือซอฟต์แวร์จัดการสต็อก
    • ระบุรายละเอียดสินค้า: ป้อนข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ชื่อสินค้า, ราคา, ขนาดบรรจุ, และจำนวนในสต็อก
  3. การตรวจสอบสต็อก:
    • การตรวจสอบสต็อกจริง: ทำการนับจำนวนสินค้าในคลังจริง โดยใช้รหัส SKU เพื่อระบุแต่ละรายการ
    • การกับระบบ: เปรียบเทียบจำนวนสินค้าจริงกับข้อมูลในระบบ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลสอดคล้องกัน
  4. การปรับปรุงข้อมูล:
    • อัปเดตข้อมูลในระบบ: ทำการอัปเดตข้อมูลในระบบหากพบความแตกต่างระหว่างจำนวนสินค้าจริงกับข้อมูลที่บันทึกไว้
    • รายงานปัญหา: หากพบข้อผิดพลาดหรือปัญหาใน เช่น ขาดหายหรือเกินจำนวน ต้องรายงานให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ
  5. การตรวจสอบประจำ:
    • การนับสต็อกประจำ: ทำการนับสต็อกเป็นประจำ เช่น รายเดือนหรือรายไตรมาส เพื่อให้ข้อมูลมีความแม่นยำ
    • การตรวจสอบรอบการจัดการ: ตรวจสอบการจัดการ SKU และการเคลื่อนไหวของสินค้าในคลังเพื่อปรับปรุงการจัดการให้มีประสิทธิภาพ

ข้อผิดพลาดบ่อยในการทำ SKU

  1. การตั้งรหัส SKU ซ้ำซ้อน:
    • ปัญหา: รหัส SKU ซ้ำอาจทำให้เกิดความสับสนในระบบการจัดการสต็อก
    • การป้องกัน: ใช้โครงสร้างรหัสที่ชัดเจนและตรวจสอบรหัสใหม่ก่อนบันทึก
  2. การตั้งรหัส SKU ที่ไม่สอดคล้องกัน:
    • ปัญหา: รหัส SKU ที่ไม่สอดคล้องกับโครงสร้างที่กำหนดอาจทำให้การจัดการยากขึ้น
    • การป้องกัน: กำหนดโครงสร้าง SKU ที่ชัดเจนและยึดตามข้อกำหนดทุกครั้ง
  3. การป้อนข้อมูลผิดพลาด:
    • ปัญหา: ข้อมูลที่ป้อนผิด เช่น ขนาด, ราคา, หรือรายละเอียดสินค้าอาจทำให้เกิดปัญหาในการจัดการ
    • การป้องกัน: ตรวจสอบข้อมูลก่อนการบันทึก และใช้ระบบตรวจสอบข้อมูล (validation) ในซอฟต์แวร์
  4. การขาดการอัปเดตข้อมูล SKU:
    • ปัญหา: ข้อมูล SKU ที่ไม่อัปเดตอาจทำให้ข้อมูลสต็อกไม่ตรงตามความเป็นจริง
    • การป้องกัน: ทำการอัปเดตข้อมูลเป็นประจำและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
  5. การใช้งาน SKU ที่ซับซ้อนเกินไป:
    • ปัญหา: รหัส SKU ที่ซับซ้อนอาจทำให้ยากต่อการจัดการและตรวจสอบ
    • การป้องกัน: ใช้โครงสร้าง SKU ที่ง่ายต่อการเข้าใจและใช้งาน

ข้อควรระวังในการทำ SKU

  1. การจัดการ SKU สำหรับสินค้าที่มีหลายรายการ:
    • ข้อควรระวัง: ตรวจสอบให้แน่ใจว่า SKU ถูกกำหนดอย่างถูกต้องสำหรับสินค้าที่มีหลายขนาด, สี, หรือประเภท
    • แนวทาง: ใช้รหัสที่แสดงถึงคุณสมบัติต่าง ๆ ของสินค้าอย่างชัดเจน
  2. การฝึกอบรมพนักงาน:
    • ข้อควรระวัง: พนักงานอาจไม่เข้าใจระบบ SKU ได้ดี ทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการป้อนข้อมูลหรือการจัดการ
    • แนวทาง: ให้การฝึกอบรมและคำแนะนำที่ชัดเจนแก่พนักงานเกี่ยวกับการใช้งาน SKU
  3. การบำรุงรักษาและการตรวจสอบ:
    • ข้อควรระวัง: ระบบ SKU ต้องการการบำรุงรักษาและตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันข้อผิดพลาด
    • แนวทาง: ตรวจสอบและอัปเดตระบบ SKU เป็นประจำ และทำการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
  4. การจัดการ SKU สำหรับสินค้าที่ถูกถอนออก:
    • ข้อควรระวัง: การจัดการ SKU สำหรับสินค้าที่ถูกถอนออกอาจเป็นเรื่องยาก
    • แนวทาง: มีการจัดการ SKU สำหรับสินค้าที่ไม่ได้ขายหรือถูกถอนออกจากระบบอย่างเหมาะสม
  5. การปรับเปลี่ยนและการแก้ไข SKU:
    • ข้อควรระวัง: การเปลี่ยนแปลง SKU อาจทำให้ข้อมูลสต็อกขาดความต่อเนื่อง
    • แนวทาง: วางแผนการเปลี่ยนแปลง SKU อย่างรอบคอบและทำให้แน่ใจว่าข้อมูลทั้งหมดถูกอัปเดตอย่างถูกต้อง

โปรแกรมฟรีในการจัดการสต็อก SKU

แนะนำโปรแกรมจัดการสต็อก SKU แบบฟรีที่สามารถใช้ได้ออนไลน์:

  • Google Sheets
    • คุณสมบัติ: การสร้างและจัดการตารางข้อมูลสต็อก, การใช้สูตรและฟังก์ชันในการติดตามสต็อกข้อดี: ฟรีและสามารถแชร์ให้ทีมงานทำงานร่วมกันได้ง่าย
    วิธีใช้:
    • สร้างตารางสำหรับข้อมูล SKU เช่น รหัส SKU, ชื่อสินค้า, จำนวนในสต็อก, ราคา
    • ใช้ฟังก์ชัน SUM และ QUERY เพื่อจัดการและวิเคราะห์ข้อมูล
    • แชร์ตารางให้ทีมงานเข้าถึงและอัปเดตข้อมูล

ตัวอย่างการใช้งาน

สมมติว่า ร้านขายข้าวสารต้องการนับสต็อกข้าวหอม A ขนาด 5 กิโลกรัม:

  1. สร้าง SKU: A-JM-5KG-200
  2. บันทึกข้อมูล: ใส่ข้อมูล SKU นี้ในระบบ พร้อมระบุรายละเอียด
  3. ตรวจสอบสต็อกจริง: นับจำนวนถุงข้าวหอม A ขนาด 5 กิโลกรัมที่มีอยู่ในคลังจริง
  4. เปรียบเทียบ: ตรวจสอบว่าจำนวนถุงในคลังจริงตรงกับข้อมูลในระบบหรือไม่
  5. ปรับปรุง: หากพบจำนวนที่แตกต่างกัน อัปเดตข้อมูลในระบบและรายงานปัญหา

ตัวอย่างการใช้งาน SKU ในการจัดการสินค้า

เพื่อให้เข้าใจการใช้งาน SKU ได้ชัดเจนขึ้น ลองมาดูตัวอย่างสมมติ:

สมมติว่า ร้านขายเครื่องดื่มกำลังจัดการสินค้าประเภทน้ำผลไม้ ซึ่งมีหลายรสชาติและบรรจุภัณฑ์

สินค้ารสชาติขนาดSKU
น้ำผลไม้ Aส้ม250 มล.A--250
น้ำผลไม้ Aส้ม500 มล.A-OR-500
น้ำผลไม้ Aแอปเปิ้ล250 มล.A-AP-250
น้ำผลไม้ Aแอปเปิ้ล500 มล.A-AP-500
น้ำผลไม้ Aองุ่น250 มล.A-GR-250

วิเคราะห์ตัวอย่างนี้:

  • น้ำผลไม้ชนิดเดียวกันแต่ต่างรสชาติและขนาด จะมี SKU ที่ต่างกัน เช่น “A-OR-250” หมายถึง น้ำผลไม้ A รสส้ม ขนาด 250 มล.
  • การใช้ SKU นี้ทำให้ร้านค้าสามารถจัดการสต็อกได้ง่ายขึ้น โดยสามารถตรวจสอบปริมาณสินค้าในคลัง และจัดสั่งสินค้าได้อย่างแม่นยำ เช่น ถ้า SKU “A-OR-250” เหลือเพียง 10 ชิ้นในสต็อก ก็สามารถสั่งเติมสินค้าได้ตรงตามความต้องการโดยไม่สับสนกับสินค้าอื่น

สถานการณ์การใช้งานจริง:

เมื่อพนักงานขายได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าที่ต้องการน้ำผลไม้ A รสส้ม ขนาด 250 มล. พนักงานสามารถค้นหาสินค้าในระบบโดยใช้ SKU “A-OR-250” ทำให้สามารถเช็คสต็อกและจัดส่งได้อย่างรวดเร็ว ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดในการส่งสินค้า


ตัวอย่างการใช้งาน SKU ในร้านขายข้าวสาร

สมมติว่าร้านขายข้าวสารขายข้าวหลากหลายชนิด โดยแบ่งตามยี่ห้อ ชนิดข้าว ขนาดบรรจุภัณฑ์ และราคา เช่น:

ยี่ห้อชนิดข้าวขนาดราคาSKU
ข้าวหอม Aข้าวหอมมะลิ5 กิโลกรัม200 บาทA-JM-5KG-200
ข้าวหอม Aข้าวหอมมะลิ10 กิโลกรัม380 บาทA-JM-10KG-380
ข้าวหอม Bข้าวขาว5 กิโลกรัม150 บาทB-WR-5KG-150
ข้าวหอม Bข้าวขาว10 กิโลกรัม280 บาทB-WR-10KG-280
ข้าวหอม Cข้าวกล้อง5 กิโลกรัม250 บาทC-BR-5KG-250

วิเคราะห์ตัวอย่างนี้:

  • SKU ถูกกำหนดโดยใช้โค้ดที่ประกอบไปด้วย ยี่ห้อ ชนิดข้าว ขนาด และราคา เช่น SKU “A-JM-5KG-200” หมายถึง ข้าวหอม A ชนิดข้าวหอมมะลิ ขนาด 5 กิโลกรัม ราคา 200 บาท
  • SKU ช่วยให้ร้านสามารถจัดระเบียบคลังสินค้าได้ดีขึ้น โดยสามารถแยกแยะข้าวแต่ละชนิดได้ชัดเจน แม้ว่าจะเป็นข้าวจากยี่ห้อเดียวกันแต่ต่างขนาดหรือชนิดข้าว

สถานการณ์การใช้งานจริง:

  1. การตรวจสอบสต็อกสินค้า: เจ้าของร้านสามารถใช้ SKU ในการตรวจสอบจำนวนข้าวในสต็อกได้อย่างง่ายดาย เช่น ตรวจสอบว่า SKU “B-WR-5KG-150” มีเหลืออยู่กี่ถุงในคลัง ทำให้ไม่เกิดปัญหาสินค้าขาดหรือเกินเก็บ
  2. การสั่งซื้อและเติมสินค้า: เมื่อเห็นว่า SKU “A-JM-10KG-380” เริ่มลดลงในสต็อก เจ้าของร้านสามารถสั่งซื้อข้าวชนิดนี้ได้ตรงตามความต้องการโดยไม่สับสนกับสินค้าอื่น
  3. การจัดเก็บและค้นหาสินค้า: การจัดเรียงข้าวในร้านจะง่ายขึ้นเมื่อใช้ SKU ในการจัดเก็บ เจ้าหน้าที่สามารถค้นหาข้าวตาม SKU ที่ระบุได้รวดเร็วและแม่นยำ
  4. การตั้งราคาสินค้า: SKU ช่วยให้การตั้งราคาสินค้าในระบบขายชัดเจนและไม่สับสน แม้ว่าข้าวชนิดเดียวกันจะมีราคาต่างกันตามขนาดบรรจุภัณฑ์

การใช้ SKU ในการจัดการคลังสินค้าและระบบขายมีทั้งข้อดี ข้อเสีย และประโยชน์ที่ควรพิจารณา โดยรวมถึงค่าใช้จ่ายและเวลาที่เกี่ยวข้อง ดังนี้:

ข้อดีของการทำ SKU

  1. การจัดการสต็อกที่มีประสิทธิภาพ: SKU ช่วยแยกแยะสินค้าที่มีความคล้ายคลึงกันได้อย่างชัดเจน ลดความสับสนในเรื่องการจัดเก็บ การค้นหา และการจัดส่งสินค้า
  2. การตรวจสอบและควบคุมสต็อก: ทำให้สามารถตรวจนับสินค้าในคลังได้ง่ายขึ้น เช่น การตรวจสอบว่าสินค้าใดใกล้หมด หรือต้องเติมสต็อกใหม่ ช่วยลดปัญหาสินค้าขาดหรือเกินสต็อก
  3. การตั้งราคาและการติดตามยอดขาย: SKU ช่วยให้สามารถติดตามยอดขายสินค้าแต่ละประเภทได้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถวิเคราะห์และปรับเปลี่ยนราคาได้ตามความต้องการของตลาด
  4. การสื่อสารภายในทีมและกับคู่ค้า: การใช้ SKU ทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน ตั้งแต่ผู้จัดซื้อ ผู้จัดส่ง ไปจนถึงผู้ขาย ลดความผิดพลาดในการสั่งซื้อหรือจัดส่งสินค้า
  5. การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก: SKU ช่วยให้สามารถดึงข้อมูลการขายและสต็อกมาวิเคราะห์แนวโน้มยอดขาย ความนิยมของสินค้าประเภทต่างๆ และวางแผนการสั่งซื้อในอนาคตได้

ข้อเสียของการทำ SKU

  1. ค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นและการจัดทำระบบ: การสร้างระบบ SKU ที่มีประสิทธิภาพอาจต้องลงทุนทั้งในด้านซอฟต์แวร์และการฝึกอบรมพนักงาน ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงในระยะเริ่มต้น
  2. ความซับซ้อนในการจัดการหากมีสินค้ามาก: หากมีสินค้าหลายหมื่นรายการ การสร้างและจัดการ SKU อาจซับซ้อนและยุ่งยาก การกำหนดรหัส SKU ที่มีโครงสร้างและไม่ซ้ำกันต้องใช้เวลาและความรอบคอบ
  3. ค่าเสียเวลาในการอัปเดต SKU: การเปลี่ยนแปลง SKU หรือต้องการปรับปรุงระบบ SKU อาจต้องใช้เวลามาก โดยเฉพาะเมื่อมีสินค้าที่ต้องอัปเดตหรือเปลี่ยนแปลง SKU บ่อยครั้ง
  4. ความผิดพลาดที่อาจเกิดจากการตั้งค่า SKU ที่ซับซ้อน: การตั้งค่า SKU ที่ไม่ชัดเจนหรือซับซ้อนเกินไปอาจนำไปสู่ข้อผิดพลาดในการจัดการสต็อก ทำให้เกิดปัญหาในการขายหรือจัดส่งสินค้า

ประโยชน์ในการทำ SKU

  1. เพิ่มความแม่นยำในการบริหารจัดการสต็อก: SKU ช่วยลดข้อผิดพลาดในการจัดการสต็อก ทำให้สามารถจัดการสินค้าได้อย่างเป็นระบบ
  2. เพิ่มประสิทธิภาพในการขาย: ทำให้สามารถให้บริการลูกค้าได้รวดเร็วและตรงตามความต้องการ ลดความผิดพลาดในการขายสินค้า
  3. สนับสนุนการวางแผนธุรกิจ: การใช้ SKU ทำให้สามารถติดตามประสิทธิภาพของสินค้าในตลาด วิเคราะห์ยอดขาย และวางแผนการผลิตและได้ดียิ่งขึ้น

ค่าเสียเวลาในการจัดทำ SKU

  1. การวางแผนและสร้างรหัส SKU: การกำหนดโครงสร้าง SKU ที่เหมาะสมและไม่ซ้ำกันต้องใช้เวลาในการวางแผนให้ดี เพื่อให้ระบบนี้สามารถใช้งานได้ระยะยาว
  2. การฝึกอบรมพนักงาน: ต้องใช้เวลาในการฝึกอบรมพนักงานให้เข้าใจวิธีการใช้งาน SKU อย่างถูกต้อง และรู้จักวิธีการค้นหาและอัปเดตข้อมูล SKU ในระบบ
  3. การบำรุงรักษาและอัปเดตระบบ SKU: ระบบ SKU ต้องได้รับการดูแลและอัปเดตเป็นประจำเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสินค้าในคลัง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและทรัพยากร

ตารางฉบับย่อที่สรุปข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และค่าเสียเวลาในการทำ SKU:

หัวข้อรายละเอียด
ข้อดี– จัดการสต็อกอย่างมีประสิทธิภาพ
– ตรวจสอบและควบคุมสต็อกง่ายขึ้น
– ตั้งราคาและติดตามยอดขายได้แม่นยำ
– สื่อสารระหว่างทีมและคู่ค้าชัดเจน
– วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกได้ง่าย
ข้อเสีย– ค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นและจัดทำระบบสูง
– ซับซ้อนหากมีสินค้ามาก
– ใช้เวลาในการอัปเดต SKU
– อาจเกิดข้อผิดพลาดจาก SKU ซับซ้อน
ประโยชน์– ลดข้อผิดพลาดในการจัดการสต็อก
– เพิ่มประสิทธิภาพในการขาย
– ช่วยวางแผนธุรกิจได้ดีขึ้น
ค่าเสียเวลา– วางแผนและสร้างรหัส SKU
– ฝึกอบรมพนักงานให้เข้าใจการใช้งาน
– บำรุงรักษาและอัปเดตระบบ SKU อย่างสม่ำเสมอ