ระบบ (Just-In-Time) คืออะไร? การผลิตทันเวลาพอดีที่ง่ายต่อการเข้าใจ

การผลิตทันเวลาพอดี (Just-In-Time: JIT)

แบบทันเวลาพอดี (JIT) เป็นกลยุทธ์การผลิตที่มุ่งเน้นการลดสินค้าคงคลังและการผลิตตามความต้องการของลูกค้าในเวลาที่กำหนดโดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการเก็บสินค้าคงคลัง

หลักการสำคัญของระบบ JIT

  1. การผลิตตามความต้องการ (Pull Concept)รายละเอียด: ระบบ JIT ใช้ข้อมูลความต้องการของลูกค้าในการกำหนดปริมาณการผลิต โดยการสั่งซื้อและการผลิตจะเกิดขึ้นตามคำสั่งซื้อจริงจากลูกค้า: ลดการผลิตล่วงหน้าและการเก็บสินค้าคงคลังที่ไม่จำเป็น
  2. การผลิตตามการคาดการณ์ (Push Concept)รายละเอียด: การผลิตสินค้าจะเกิดขึ้นตามการคาดการณ์ความต้องการของลูกค้า ซึ่งอาจทำให้มีสินค้าคงคลังอยู่บ้างข้อดี: สามารถตอบสนองความต้องการในกรณีที่คาดการณ์ความต้องการได้แม่นยำ

เป้าหมายของระบบ JIT

  1. ลดสินค้าคงคลัง (Zero )รายละเอียด: การควบคุมวัสดุคงคลังให้อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดหรือศูนย์ โดยการจัดการที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดการเก็บวัสดุที่ไม่จำเป็นประโยชน์: ลดค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้าและลดความเสี่ยงจากสินค้าคงคลังล้าสมัย
  2. ลดเวลานำ (Zero Time)รายละเอียด: ลดระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตและจัดส่งสินค้า ซึ่งช่วยให้การผลิตเป็นไปอย่างรวดเร็วประโยชน์: เพิ่มความสามารถในอย่างรวดเร็ว
  3. ขจัดปัญหาของเสีย (Zero Failures)รายละเอียด: การผลิตจะมุ่งเน้นที่การลดข้อผิดพลาดและปรับปรุงคุณภาพสินค้าอย่างต่อเนื่องประโยชน์: เพิ่มความเชื่อถือได้และความพอใจของลูกค้า
  4. ขจัดความสูญเปล่าในการผลิต (Eliminate 7 Types of )รายละเอียด: การจัดการเพื่อขจัดความสูญเปล่าที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต รวมถึง:
    • Overproduction: การผลิตมากเกินความต้องการ
    • Waiting: การรอคอยวัสดุหรือข้อมูล
    • Transportation: วัสดุที่ไม่จำเป็น
    • Processing itself: การดำเนินงานที่ไม่จำเป็น
    • Stocks: การเก็บวัสดุหรือผลิตภัณฑ์มากเกินไป
    • : การเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นของผู้ปฏิบัติงาน
    • Making defect: การผลิตสินค้าที่มีข้อบกพร่อง

ตารางสรุปข้อดี, ข้อเสีย, และประโยชน์ของระบบ JIT

หัวข้อข้อดีข้อเสียประโยชน์
การลดสินค้าคงคลัง– ลดต้นทุนการเก็บรักษาสินค้า
– ลดความเสี่ยงจากสินค้าคงคลังล้าสมัย
– อาจเกิดปัญหาขาดแคลนสินค้าหากเกิดความล่าช้าในการจัดส่ง
– ต้องมีการวางแผนที่แม่นยำ
– ลดค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้า
– ปรับตัวเร็วขึ้นตามความต้องการของลูกค้า
การลดเวลานำ– เพิ่มความรวดเร็วในการผลิตและจัดส่ง
– ลดความล่าช้าในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า
– ต้องการการประสานงานที่ดีระหว่างซัพพลายเออร์และโรงงาน
– อาจมีค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงระบบ
– การผลิตและจัดส่งสินค้าเร็วขึ้น
– เพิ่มความพอใจของลูกค้า
การขจัดข้อผิดพลาด– ปรับปรุงคุณภาพสินค้าหรือบริการ
– ลดข้อบกพร่องในการผลิต
– อาจต้องใช้การฝึกอบรมและการพัฒนาทักษะของพนักงาน
– ต้องมีการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด
– เพิ่มความเชื่อถือได้ของสินค้า
– ลดความเสี่ยงจากการผลิตสินค้าที่มีข้อบกพร่อง
การลดความสูญเปล่า– ลดการสูญเปล่าจากการผลิตที่ไม่จำเป็น
– ปรับปรุงกระบวนการทำงาน
– การติดตามและการจัดการความสูญเปล่าอาจต้องใช้เวลามาก
– อาจต้องการการลงทุนในระบบการจัดการใหม่
– เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
– ลดต้นทุนในการผลิตโดยรวม

เนื้อหาสำหรับอ่านสอบและการบ้านในรูปแบบ Q&A


Q&A: ระบบ JIT (Just-In-Time)

Q1: ระบบ JIT (Just-In-Time) คืออะไร?

A1: ระบบ JIT หรือ Just-In-Time เป็นกลยุทธ์การจัดการการผลิตที่มุ่งเน้นการผลิตและการส่งมอบสินค้าตามความต้องการของลูกค้าในเวลาที่กำหนด โดยไม่เก็บสินค้าคงคลังมากเกินไป เป้าหมายหลักของ JIT คือการลดต้นทุนการเก็บรักษาสินค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต


Q2: หลักการสำคัญของระบบ JIT มีอะไรบ้าง?

A2:

  1. การผลิตตามความต้องการ (Pull Concept):
    • รายละเอียด: ใช้ข้อมูลความต้องการของลูกค้าในการกำหนดปริมาณการผลิต โดยการสั่งซื้อและการผลิตจะเกิดขึ้นตามคำสั่งซื้อจริงจากลูกค้า
    • ข้อดี: ลดการผลิตล่วงหน้าและลดการเก็บสินค้าคงคลังที่ไม่จำเป็น
  2. การผลิตตามการคาดการณ์ (Push Concept):
    • รายละเอียด: การผลิตสินค้าจะเกิดขึ้นตามการคาดการณ์ความต้องการของลูกค้า ซึ่งอาจทำให้มีสินค้าคงคลังอยู่บ้าง
    • ข้อดี: สามารถตอบสนองความต้องการในกรณีที่คาดการณ์ความต้องการได้แม่นยำ

Q3: เป้าหมายหลักของระบบ JIT คืออะไร?

A3:

  1. ลดสินค้าคงคลัง (Zero Inventory):
    • รายละเอียด: การควบคุมวัสดุคงคลังให้อยู่ในระดับต่ำที่สุดหรือศูนย์
    • ประโยชน์: ลดค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้าและลดความเสี่ยงจากสินค้าคงคลังล้าสมัย
  2. ลดเวลานำ (Zero Lead Time):
    • รายละเอียด: ลดระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตและจัดส่งสินค้า
    • ประโยชน์: เพิ่มความสามารถในการตอบสนองต่อลูกค้าอย่างรวดเร็ว
  3. ขจัดปัญหาของเสีย (Zero Failures):
    • รายละเอียด: มุ่งเน้นที่การลดข้อผิดพลาดและปรับปรุงคุณภาพสินค้า
    • ประโยชน์: เพิ่มความเชื่อถือได้และความพอใจของลูกค้า
  4. ขจัดความสูญเปล่าในการผลิต (Eliminate 7 Types of Waste):
    • รายละเอียด: ขจัดความสูญเปล่าที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต เช่น การผลิตเกินความต้องการ การรอคอยวัสดุ การขนส่งที่ไม่จำเป็น ฯลฯ

Q4: ตารางสรุปข้อดีและข้อเสียของระบบ JIT คืออะไร?

A4:

หัวข้อข้อดีข้อเสียประโยชน์
การลดสินค้าคงคลัง– ลดต้นทุนการเก็บรักษาสินค้า
– ลดความเสี่ยงจากสินค้าคงคลังล้าสมัย
– อาจเกิดปัญหาขาดแคลนสินค้าหากเกิดความล่าช้าในการจัดส่ง
– ต้องมีการวางแผนที่แม่นยำ
– ลดค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้า
– ปรับตัวเร็วขึ้นตามความต้องการของลูกค้า
การลดเวลานำ– เพิ่มความรวดเร็วในการผลิตและจัดส่ง
– ลดความล่าช้าในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า
– ต้องการการประสานงานที่ดีระหว่างซัพพลายเออร์และโรงงาน
– อาจมีค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงระบบ
– การผลิตและจัดส่งสินค้าเร็วขึ้น
– เพิ่มความพอใจของลูกค้า
การขจัดข้อผิดพลาด– ปรับปรุงคุณภาพสินค้าหรือบริการ
– ลดข้อบกพร่องในการผลิต
– อาจต้องใช้การฝึกอบรมและการพัฒนาทักษะของพนักงาน
– ต้องมีการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด
– เพิ่มความเชื่อถือได้ของสินค้า
– ลดความเสี่ยงจากการผลิตสินค้าที่มีข้อบกพร่อง
การลดความสูญเปล่า– ลดการสูญเปล่าจากการผลิตที่ไม่จำเป็น
– ปรับปรุงกระบวนการทำงาน
– การติดตามและการจัดการความสูญเปล่าอาจต้องใช้เวลามาก
– อาจต้องการการลงทุนในระบบการจัดการใหม่
– เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
– ลดต้นทุนในการผลิตโดยรวม

Q5: ประโยชน์หลักของการใช้ระบบ JIT คืออะไร?

A5:

  • การลดต้นทุน: ลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรักษาสินค้าและความสูญเปล่าจากการผลิต
  • เพิ่มความพอใจของลูกค้า: การผลิตและจัดส่งที่รวดเร็วขึ้นทำให้ลูกค้าพอใจมากขึ้น
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต: การลดความสูญเปล่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการจัดการ
  • ลดความเสี่ยงจากข้อบกพร่อง: ลดความเสี่ยงจากการผลิตสินค้าที่มีข้อบกพร่องหรือไม่มีคุณภาพ